ธรรมะวันนี้ สัจกิริยา ตอนที่ ๘ ชัยทิสชาดก (ล.๖๑, น.๕๘๓, มมร.)
๔. คนอื่น ช่วยทําสัจกิริยาเพื่อช่วยพระโพธิสัตว์
๔.๓ ชัยทิสชาดก ว่าด้วยโปริสาทกับพระเจ้าชัยทิส (ล.๖๑, น.๕๘๓, มมร.) ความตอนหนึ่งว่า
พระชนนีของพระราชกุมารนั้น ทรงมีทุกข์โทมนัสล้มลง เหนือปฐพีพระชนกนาถเล่า ก็ทรงประคองสองพระพาหา คร่ำครวญด้วยเสียงอันดัง. ครั้นตรัสกึ่งพระคาถาดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงประกาศสัจกิริยา อันพระราชบิดาของพระกุมารนั้นทรงประกอบ และอันพระราชมารดา,พระภคินี(น้องสาว) และพระชายาทรงกระทําแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาต่อไปอีก ๔ คาถา ความว่า
พระราชบิดา ทรงทราบชัดว่า พระโอรสกําลังมุ่งหน้าเสด็จไป ทรงเบือนพระพักตร์ประคองอัญชลีกราบไหว้เทวดาทั้งหลาย คือพระโสมราชาพระวรุณราช พระปชาบดีพระจันทร์และพระอาทิตย์
ขอเทพยเจ้าเหล่านี้ช่วยคุ้มครองโอรสของเรา จากอํานาจแห่งยักษ์อลีนสัตตุลูกรัก ขอยักษ์นั้นจงอนุญาตให้เจ้ากลับมาโดยสวัสดี.
มารดาของรามบุรุษ ผู้ไปสู่แคว้นของพระเจ้าทัณฑกิราช ได้คุ้มครองทําความสวัสดีแก่ รามะผู้เป็นบุตรอย่างใด
แม่ขอทําความสวัสดีอย่างนั้นแก่เจ้า ด้วยคําสัตย์นั้นขอทวยเทพจงช่วยคุ้มครอง ขอให้เจ้าได้รับอนุญาต กลับมาโดยสวัสดีเถิด ลูกรัก.
น้องนึกไม่ออกเลย ถึงความคิดประทุษร้าย ในอลีนสัตตุผู้พระเชษฐา ทั้งในที่แจ้งหรือที่ลับ ด้วยความสัตย์นี้ขอเทพยเจ้า โปรดระลึกถึงพระเชษฐาที่เคารพขอพระเชษฐา จงได้รับอนุญาตให้กลับมาโดยสวัสดี
ข้าแต่พระสวามีพระองค์ ไม่เคยประพฤตินอกใจหม่อมฉันเลย ฉะนั้น จึงเป็นที่รักของหม่อมฉันด้วยใจจริงด้วยความสัตย์นี้ ขอเทพยเจ้าโปรดระลึกถึงพระสวามีที่เคารพ ข้าแต่พระสวามีขอพระองค์ จงได้รับอนุญาตให้กลับมาโดยสวัสดี.
พระราชกุมารเสด็จดําเนินไปสู่ทางที่อยู่ของยักษ์ ตามคําแนะนําที่พระราชบิดาตรัสบอก ฝ่ายยักษ์คิดว่า ‘ธรรมดากษัตริย์มีมายามาก ใครจะรู้ว่าจักเกิดอะไรขึ้น.’ จึงขึ้นต้นไม้นั่งแลดูทางที่พระเจ้าชัยทิสจะเสด็จมา เหลือบเห็นพระกุมารกําลังดําเนินมาคิดว่า ‘ชะรอยพระโอรสจักให้พระราชบิดากลับแล้วตัวมาแทน ภัยคงไม่มีแก่เรา.’ จึงลงจากต้นไม้นั่งผินหลังให้.
เรื่องย่อ
ชัยทิสชาดก ว่าด้วยโปริสาทกับพระเจ้าชัยทิส
l สถานที่ตรัส ณ พระเชตวันมหาวิหาร
l ทรงปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดารูปหนึ่ง
เรื่องย่อความว่า
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าชัยทิสมหาราช พระราชาทรงโปรดการล่าเนื้อมาก
วันหนึ่งก่อนที่จะเสด็จไปล่าเนื้อ นันทพราหมณ์ได้มาเข้าเฝ้า พระราชาทรงพอพระทัยพราหมณ์มาก จึงบอกว่าหลังจากเสร็จธุระแล้ว จะกลับมาฟังธรรม และจะพระราชทานทรัพย์ให้เมื่อพระราชทานบ้านพักแก่พราหมณ์
แล้วจึงเสด็จไปล่าเนื้อ
จากนั้น พระองค์ก็เสด็จเข้าป่าไปพร้อมกับเหล่าเสนาอามาตย์ ในขณะที่กําลังไล่ต้อนเนื้ออยู่นั้น พระองค์รับสั่งว่า
“ถ้าเนื้อหนีไปทางผู้ใดผู้นั้นจะต้องมีโทษ” แต่บังเอิญว่าเนื้อได้วิ่งหนีไปทางพระราชา พระองค์ทรงจับไม่ทัน จึงไล่ตามไปโดยลําพังในที่สุดก็สามารถจับเนื้อ ได้แต่ในระหว่างทางที่จะกลับ ทรงพลัดหลงเข้าไปในเขตยักษ์กินคน จึงถูกยักษ์จับไว้พระราชาตรัสบอกกับยักษ์ ถึงเรื่องที่พระองค์ได้ทรงให้สัญญา กับพราหมณ์ไว้ว่าจะกลับไปฟังธรรม แล้วจะมอบทรัพย์ให้แก่พราหมณ์ ขอให้ยักษ์ได้ปล่อยพระองค์ไปก่อน แล้วจะกลับ
มาให้กินในภายหลัง ยักษ์รู้ว่าธรรมดากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคํา จึงอนุญาตให้พระองค์กลับไป แต่ให้กลับมาภายในวันรุ่งขึ้น พระราชาก็ให้คํามั่นสัญญา
วันรุ่งขึ้น ก่อนที่พระองค์จะเสด็จไปหายักษ์ได้ตรัสเรียกพระโอรสมาให้โอวาทว่า “ขอให้ลูกจงประพฤติธรรมในรัฐสีมาจงปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์แทนพ่อ วันนี้พ่อจะต้องไปให้ยักษ์กินตามสัญญา ลูกจงเสวยราชสมบัติเถิด.”
ธรรมดาของพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีจึงได้ ทูลว่า “ขอเสด็จพ่ออย่าได้เสด็จไปเลย ลูกจะขอเอาชีวิตแลกกับพระชนม์ชีพ ของเสด็จพ่อเองเสด็จพ่อได้โปรดวางพระทัยเถิด.”
แม้พระราชาจะทรงทัดทานอย่างไรก็ไม่สําเร็จเพราะพระโพธิสัตว์มีใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่จะทดแทนพระคุณพระราชาจึงต้องทรงอนุญาตในที่สุด
พระโพธิสัตว์ได้เสด็จออกจากพระนคร ด้วยความองอาจกล้าหาญ ทรงปีติโสมนัสว่า ‘เราจะได้ทดแทนพระคุณของบิดามารดา ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยาก แม้จะต้องตาย เราก็ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย.’ แล้วได้เสด็จไปยังที่อยู่ของยักษ์
ฝ่ายยักษ์รอคอยการมาของพระราชาอยู่ใต้ต้นไม้เมื่อเห็นพระโอรสเสด็จมาแทน จึงถามว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าเราเป็นยักษ์ ทําไมจึงเดินมาหาเรา?”
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “เรารู้ว่าท่านเป็นยักษ์กินคน เราคือโอรสของพระราชา วันนี้ท่านจงกินเราแทนพระชนกเถิด.”ยักษ์กล่าวว่า “ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายย่อมกลัวตาย ท่านมาแทนบิดา ท่านไม่กลัวตายหรือ?.”
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “เราไม่กลัว เรานี่แหละ กล้าตายแทนบิดามารดาได้แม้เราจะต้องตายไปในวันนี้ย่อมจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์เพราะเราเห็นคุณข้อนี้เราจึงไม่กลัวตาย เชิญท่านกินเนื้อเราเถิด.”
เมื่อยักษ์ได้ฟังถ้อยคํา และเห็นท่าทีอันเด็ดเดี่ยวของพระโพธิสัตว์จึงเกิดความครั่นคร้าม และรู้สึกหวั่นไหวเป็นอย่าง มาก ตกใจกลัวแล้วคิดในใจว่า ‘มนุษย์ผู้กล้าหาญเช่นนี้เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย เรากลัวใจบุรุษผู้นี้ที่ทําให้เราหวั่นไหวเราไม่อาจที่จะกินเขาได้จะต้องหาอุบายขับไล่ให้หนีไปเสีย.’ แล้วจึงแกล้งบอก เพื่อเปิดโอกาสให้หนีไปว่า “ท่านจงเข้าไปในป่าหาฟืนมาก่อไฟเราจะย่างเนื้อของท่านในกองไฟนั้น.”
พระองค์ได้ทําตามยักษ์บอก ด้วยความกระตือรือร้นมิได้มีท่าทีแห่งความสะทกสะท้านเลย นําฟืนมากองแล้วจุดไฟ เดินกลับไปหายักษ์.ยักษ์ได้เห็นพระโพธิสัตว์ทําเช่นนั้น จึงเกิดอาการขนพองสยองเกล้าขึ้น ดําริว่า‘บุรุษนี้เป็นประดุจราชสีห์ผู้ไม่กลัวความตาย เราไม่เคยพบเห็นบุคคลผู้มีความกตัญญูกตเวที ต่อบิดามารดาถึงเพียงนี้ถ้าเรากินเขาเป็นอาหาร ศีรษะเราจะต้องแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงแน่นอน.’
ยักษ์จึงบอกว่า “ท่านสัตบุรุษผู้ตั้งอยู่ในธรรม ท่านมีความกตัญญูที่ใครๆ ในโลกทําได้ยาก บัดนี้ท่านเหมือนดวงจันทร์ที่พ้นจากปากแห่งราหูแล้ว ย่อมไพโรจน์กว่าหมู่ดาวบนท้องฟ้าฉันใด ท่านผู้มีอานุภาพก็เป็นฉันนั้น ท่านได้หลุด
พ้นจากเราแล้วเพราะเรายอมแพ้ใจของท่าน ท่านจงกลับไปเถิด ท่านให้ชีวิตแก่พระบิดา ส่วนเราบูชาความกตัญญูและ ความสัตย์ของท่านเราจึงได้ให้ชีวิตแก่ท่าน ขอท่านจงบํารุงบิดามารดาของท่านเถิด.”
พระโพธิสัตว์เมื่อได้ชีวิตแล้ว จึงกล่าวสั่งสอนยักษ์ให้สมาทานในศีล และประพฤติธรรม อย่าได้มีเวรกับใคร จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นยักษ์อีก พระดาบสได้บอกว่าทั้งสองเป็นลุงกับหลานกัน จากนั้นจึงเสด็จกลับพระนครโดยปลอดภัย
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบแล้ว ทรงประกาศอริยสัจจธรรม ในเวลาจบอริยสัจจกถาพระเถระผู้เลี้ยงดูมารดา ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
l
ประชุมชาดกว่า
พระราชมารดาบิดา ได้มาเป็น ตระกูลแห่งพระมหาราชเจ้า
พระดาบส ได้มาเป็น พระสารีบุตร
ยักษ์ ได้มาเป็น พระองคุลิมาล