.....สองพันปีมาแล้ว เสียงกลองศึกลั่นสะเทือนประหนึ่งถล่มพสุธา เสียงม้า ช้าง และทหารหาญที่ถูกลูกศรและดาบร้องครวญครางเสียงระงม เคล้าด้วยเสียงกลองศึกทั่วทุ่งยุทธสงครามจอมจักรพรรดิทรงม้าขาว ผูกสอดธนู แกว่งพระแสงดาบนำหน้าทหาร พระราชาเบี่ยงพระพักตร์ไปทางใด คลื่นทหารแห่งแคว้นก็ทุ่มกำลังหลั่งไหลไปทางนั้น เหล่าทหารฝ่ายตรงข้ามล้มตายระเนระนาด ราวมัจฉาชาติเกลื่อนกล่นบนพื้นปฐพี เมื่อชาวประมงยกขึ้นจากวารี แล้วทุบให้ด่าวดิ้นก็ปานกันเมื่อแม่ทัพฝ่ายศัตรูถูกจับได้ ถูกสำเร็จโทษในสนามรบ และเหล่าทหารที่เหลืออยู่น้อย ล้วนแตกทัพหนีกระเจิงไป จอมราชันทอดพระเนตรไปทั่วทั้ง ๔ ทิศ มองลงตรงแผ่นดินที่พระองค์ยืนม้าอยู่ ทรงเห็นเลือดท่วมกีบม้า ทรงเห็นเลือดแดงฉานกระทบแสงสุริยายามอัสดง ดูประหนึ่งทะเลเพลิง
.....ทั้งศพคนและสัตว์นอนตายเกลื่อนกล่น แผ่บริเวณกว้างใหญ่สุดสายตา ในขณะที่ทหารทุกเหล่ากำลังไชโยโห่ร้องกึกก้อง ด้วยระลึกถึงความมีชัยของตน แต่พระองค์กลับรู้สึกโดดเดี่ยว ทรงทอดถอนพระทัย ปลดธนูและแสงดาบทิ้งลงสู่พื้นปฐพี ซึ่งกลายเป็นวารีเลือดไปเพียงเวลาชั่วข้ามคืน ทรงถามพระองค์เองว่าแท้จริงแล้ว พระองค์ทรงชื่นชอบสงครามจริงหรือเปล่าเลย แท้จริงแล้วพระองค์มิได้ชื่นชอบสงครามแต่อย่างใด เพราะสงครามไม่ใช่เป็นของใหม่ ไม่ว่ายุคสมัยไหนล้วนมีการรบพุ่งแย่งชิงดินแดน ดินแดนที่ไม่มีใครเอาไปได้อย่างแท้จริง ต่างทอดทิ้งทุกสิ่งไว้ เมื่อความตายมาถึง …พระองค์มีอำนาจตัดหัวคนได้ทุกคนในอาณานิคม แต่…
…แต่พระองค์มีอำนาจชุบชีวิตที่สิ้นไปให้ฟื้นคืนมาได้หรือ ?ควรหรือที่มนุษย์จะทำลายสิ่งที่ตนไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ได้เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวมองดูแล้ว ชีวิตมนุษย์ทั้งหลายช่างเหมือนกับเป็ดไก่ที่เขาขังเอาไว้ในสุ่มเพื่อจะนำไปฆ่า เป็ดไก่มันไม่รู้ว่าต้องถูกฆ่า …ก็จิกตีกันอยู่ร่ำไป กรงขังสรรพสัตว์ คือ โลกแห่งความเกิด แก่ เจ็บ และตาย ใยเพื่อนร่วมทุกข์เหมือนกันต้องเข่นฆ่ากันเอง จะไม่เป็นการซ้ำเติมความทุกข์ไปอีกหรือยิ่งนึกยิ่งรู้สึกสลดใจกับความเป็นไปชีวิตจอมกษัตริย์ยืนนิ่งอย่างตรึกตรอง ทรงมองเห็นชีวิตเป็นเรื่องสับสน เป็นเรื่องยากที่จะรู้และเข้าใจได้โดยตลอด คนเราเกิดมาเพื่ออะไร ? สิ่งใดคือเป้าหมายชีวิต ? ความมีอำนาจบาทใหญ่บนกองเลือดกองกระดูกนั้น มีประโยชน์อะไรต่อชีวิตบ้าง ?พระองค์มองคันธนูและพระแสงดาบที่ทิ้งลงพื้น แล้วหันหลังเดินจากไปไม่เคยหวนกลับคืนมาอีกเลย
อุบลเขียว