อยากเห็นธรรมะเมื่อใด ก็หยุดให้ได้เมื่อนั้น
เราต้องนั่งธรรมะเรื่อยไปนะ ทำให้ได้ทุกวันอย่างสม่ำเสมออย่าให้ขาดเลยแม้แต่เพียงวันเดียว ไม่ว่าเราจะทำงานหนัก จะเหน็ดเหนื่อย หรือนอนดึกเพียงใดก็ตาม ก่อนนอนเราก็ต้องนั่งธรรมะ หรือจัดสรรเวลาทำการบ้านที่ให้ไว้ สิ่งนั้นก็จะค่อย ๆ สั่งสมไป สั่งสมเป็นบุญ สั่งสมเป็นบารมี อินทรีย์ของเราจะถูกบ่มให้สุกงอมขึ้นมา ถ้าเป็นการเรียนหนังสือก็เหมือนกับเราค่อย ๆ เก็บคะแนนสั่งสมไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวบุญของเราก็มากขึ้นเอง พอถึงขีดถึงคราวมันก็พรึบขึ้นมาเป็นรางวัลให้แก่เรา
ในสมัยพุทธกาลก็มีอย่างนี้ แม้แต่ผู้ที่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งที่เป็นนักบวชก็มี ทั้งที่เป็นฆราวาสหรือคฤหัสถ์ก็มี ที่กว่าจะเข้าถึงธรรมมีระยะเวลาที่แตกต่างกัน คือ บางคนก็เร็ว บางคนก็ช้า ขึ้นอยู่กับการสั่งสมบุญบารมีข้ามชาติมา ถ้าเราทำมามาก ทำความเพียรขยันมาหลายภพหลายชาติ สั่งสมบุญมามาก สิ่งที่ยากในกาลก่อน...มันก็มาง่ายในตอนนี้ พอฟังธรรมไม่กี่คำก็บรรลุแล้ว สว่างแล้ว เข้าถึงพระธรรมกายในตัว แต่ที่เรายากในปัจจุบันเพราะความขี้เกียจในอดีต ไม่ได้ตั้งใจทำกันอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้น...จึงมายากในชาตินี้
ความยากที่ว่านั้นยากไม่มาก มันยากพอสู้ ดังนั้น...เราไม่จำเป็นจะต้องไปรู้ว่า “เมื่อไรเราจะเห็นธรรมะ” เพราะถ้าใครถาม คำถามนี้ก็จะตอบได้ว่า “เมื่อหยุด...เราจึงจะเห็น” เราอยากจะเห็นเมื่อไรก็แล้วแต่เราว่าจะหยุดได้ตอนไหน ถ้าหยุดตอนนี้เราก็จะเห็นตอนนี้ ถ้าหยุดพรุ่งนี้ก็จะเลื่อนไปอีกวันหนึ่ง ถ้าหยุดอาทิตย์หน้า ก็เลื่อนไปอีก ๑ อาทิตย์ ถ้าทำๆ หยุด ๆ ก็อีกนาน แต่ถ้าหากเรา ทำอย่างต่อเนื่องจะเร็วหน่อย เดี๋ยวความหยุดจะเกิดขึ้นกับเรานะ ลูกนะ
อย่าไปท้อ ให้ทำความเพียรกันต่อไปให้สม่ำเสมอ เพราะนี่คือกรณียกิจ เป็นกิจที่แท้จริง หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า “เป็นงานที่แท้จริงของชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มาพบพระพุทธศาสนา” แม้ไม่พบพระพุทธศาสนาก็ตาม..ชีวิตหนึ่งที่เกิดมาก็เพื่อการนี้ ถ้าพบพระพุทธศาสนาก็รู้เรื่องเร็ว แต่ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนาก็รู้เรื่องช้า เพราะว่าไม่มีใครมาสอนเรื่องเหล่านี้
คุณครูไม่ใหญ่
จากหนังสือ ง่ายที่สุดคือหยุดได้ เล่ม ๕