สุรุจิพราหมณ์

วันที่ 02 ธค. พ.ศ.2566

531210p1.jpg

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์แก่พระโพธิสัตว์ของเรา


              ต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่า โกณฑัญญะ ได้มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า


              พระสรีระสูง ๘๘ ศอก


               อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๙ หมื่นปี


               ทรงเป็นพระโอรสของ พระเจ้าอุตตระ และพระอัครมเหสีอุตตรา แห่งอุตตระนคร


              ครองฆราวาสเสวยโลกียสุขอยู่ ๙ พันปี เมื่อพระนางยสวดีพระมเหสีทรงให้ประสูติกาลพระโอรส สีวละ ก็ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ ด้วยม้าทรงชื่อปัณฑระ มีผู้ตามเสด็จออกบวช ๓ โกฏิ


               ทรงใช้เวลาบ้าเพ็ญเพียร ๘ เดือน

 

             ผู้ถวายข้าวมธุปายาส นางอุตตรา ธิดาอุตตรเศรษฐี


              นิสีทนสันถัต กว้าง ๕๘ ศอก อุตตรอาชีวกถวายหญ้าคา ๘ กำมือ


              ต้นไม้ที่ตรัสรู้คือ ต้นนาคะ(ต้นกากะทิง)


               พระอัครสาวกคือ พระสุเทวะ และพระธรรมเสนะ


                พระพุทธอุปัฏฐากคือ พระปาลิตะ


               ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง


               ครั้งแรก ประทานแก่ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ ๓ โกฏิ ที่ชัฏสิริวัน นครสิริวัฒนะ


               ครั้งที่สอง แสดงที่ภพดาวดึงส์


                มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครั้ง


                พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ มีสรรพสัตว์เลื่อมใสศรัทธาเป็นพิเศษ เนื่องจากทรงมีพระรัศมีแผ่จากพระวรกายไปทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ อยู่เป็นปกติตลอดเวลา จนกระทั่งไม่มีกลางวันกลางคืน เหล่ามนุษย์อาศัยพระพุทธรัศมีแทนแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ มนุษย์จึงไม่ทราบเวลากลางวันกลางคืน ต้องดูจากดอกไม้บานในยามเย็น และฟังเสียงนกร้องในตอนเช้า พระตถาคตเจ้าพระองค์นี้มีพระรัศมีพิเศษด้วยทรงอธิษฐานเอาไว้ในพระชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงพำนักอยู่กับพระชายาพร้อมด้วยพระโอรสพระธิดา ที่ภูเขาแห่งหนึ่ง ยักษ์ตนหนึ่งปลอมตัวมาขอพระกุมารและกุมารี พระองค์ทรงบำเพ็ญมหาบริจาค พอขอไปได้ไม่ทันคล้อยหลัง ยักษ์ก็ขบเคี้ยวกินเป็นอาหารหมดทั้งสองพระองค์ พระมังคลโพธิสัตว์ต้องชมพระทัยด้วยขันติบารมีอย่างแรงกล้า ทรงอดกลั้นความโกรธไว้ กระทำอุเบกขาบารมีว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสละไปแล้ว พร้อมทั้งทรงตั้งสัจอธิษฐาน ขอผลแห่งการให้ทานครั้งนี้ มีอานิสงส์ให้พระองค์ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ให้มีพระรัศมีกว้างไกลดุจโลหิตของพระโอรสพระธิดาที่สาดกระเซ็นออกจากปากยักษ์


                 ด้วยอธิษฐานบารมีดังกล่าวแล้ว พระรัศมีกายของพระองค์จึงสว่างไกลกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งทรงมีเพียงว่าหนึ่งบ้าง ๘๐ ศอกบ้าง จะแผ่ทั่วจักรวาล ต่อเมื่อมีพุทธประสงค์จะแสดงเท่านั้น พระองค์ทรงจารึกสั่งสอนสรรพสัตว์จนพระชนม์ ๙ หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ อุทยานเวสสระ มหาชนทำสถูปบูชาสูงถึง ๓๐ โยชน์


สุรุจิพราหมณ์


                  ในพระพุทธกาลนี้พระโพธิสัตว์ของเราเกิดในตระกูลพราหมณ์ ชื่อสุรุจิ เมื่อเห็นพระรัศมีและฟังพระธรรมเทศนา มีความเลื่อมใสศรัทธา ขอถึงพระบรมศาสดาเป็นสรณะบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งแสนโกฏิด้วยดอกไม้ของหอม พร้อมด้วยภัตตาหารมีปานะ ขนมแป้งผสมน้ำนมโคเป็นต้น ตลอด ๗ วัน พร้อมทั้งกล่าววาจา ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตเบื้องหน้าบ้าง พระมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า สุรุจิพราหมณ์จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอีก ๒ อสงไขยแสนกัป


                  สุรุจิพราหมณ์ฟังพระพุทธดำรัสแล้ว จึงถวายสมบัติทั้งหมดไว้ในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นภิกษุรูปหนึ่ง ตั้งใจศึกษาพระพุทธวจนะ ปฏิบัติธรรมได้บรรลุอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ มีฌานไม่เสื่อม จรรโลงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองจนสิ้นชีวิต ไปบังเกิดในพรหมโลก

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.032447397708893 Mins