พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๐ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์
ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสรีระสูง ๕๘ ศอก
อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๑ แสนปี
ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอานันทะ และพระนางสุชาดาพระอัครมเหสี แห่งนครหังสวดี
ทรงครองฆราวาสวิสัยเสวยโลกียสุข ๑ หมื่นปี ทรงเห็นเทวทูตทั้ง ๔ สลดพระทัย เมื่อพระนางวสุลทัตตาประสูติพระโอรสอุตตรกุมาร จึงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ด้วยปราสาทที่ประทับเลื่อนลอยไปในอากาศ เหมือนพระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
ระยะเวลาทําความเพียร ๗ วัน
ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือ ธิดาของเศรษฐีรุจานันทา แห่งอุชเชนีนิคม
นิสีทนสันถัตกว้าง ๓๘ ศอก โดยสุมิตตอาชีวกถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งได้ต้นสลฬะ(ต้นสน)
พระอัครสาวกคือ พระเทวิละ และพระสุชาตะ
พระพุทธอุปัฏฐากคือ พระสุมนะ
ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง
ครั้งแรก ทรงแสดงปฐมเทศนา ณ ราชอุทยานกรุงมิถิลา
ครั้งที่สอง ทรงแสดงท่ามกลางสมาคมสรทดาบส
ครั้งที่สาม ทรงแสดงเมื่อเสด็จไปโปรดพระพุทธบิดา พระเจ้าอานันทะ ณ กรุงหังสวดี โดยเสด็จจงกรมในอากาศ พร้อมตรัสเล่าเรื่องของพระองค์เอง
มีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๑ แสนพรรษา ณ พระวิหารนันทาราม พระสถูปอยู่ที่นั่ง สูง ๑๒ โยชน์
ชฎิลผู้ครองรัฐ
ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นผู้ครองรัฐใหญ่ชื่อ ชฏิล ได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระรูปงดงามดังรูปปั้นทองคำ มีพระรัศมีแผ่ออก ๑๒ โยชน์โดยรอบ ฟังพระธรรมเทศนา ใต้ถวายมหาทานพร้อมผ้าจีวรแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระบรมศาสดาตรัสพยากรณ์ว่า ชฎิลพระโพธิสัตว์จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า โคตมะ ในอนาคตนับจากนี้ไปอีกแสนกัป
พระโพธิสัตว์ได้ฟังแล้วปีติยินดียิ่งนัก มีศรัทธาในพระตถาคตเจ้ายิ่งขึ้น อธิษฐานบำเพ็ญข้อวัตรสั่งสมพุทธบารมีให้บริบูรณ์
ในครั้งนั้นแว่นแคว้นของพระโพธิสัตว์ พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก ประชาชนทุกหมู่เหล่าไม่เว้นแม้แต่เหล่าเดียรถีย์นับถือลัทธิอื่น ต่างพากันช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
พระโพธิสัตว์มีศรัทธามั่นคง ดำรงพระวิริยอุตสาหะบำเพ็ญพุทธบารมีไม่เสื่อมคลายจนกระทั่งสิ้นอายุขัยแล้วไปสู่สุคติ