ผู้มีอานุภาพ

วันที่ 09 พค. พ.ศ.2567

090567b.01.jpg
 

ผู้มีอานุภาพ
๒ เมษายน ๒๕๓๘
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                ต่อจากนี้ให้ทุกท่านตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ให้หลับตาพอสบาย ๆ ทุก ๆ คนนะจ๊ะ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย ให้ขยับเนื้อขยับตัวให้ดีนะจ๊ะทุก ๆ คน ให้ผ่อนคลายให้หมดเลย ให้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเราผ่อนคลายให้หมด จนกระทั่งรู้สึกว่าสบาย 

 


                เมื่อผ่อนคลายร่างกายดีแล้ว ต่อจากนี้ก็ผ่อนคลายจิตใจ ต้องทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ตั้งใจเจริญภาวนา วัตถุประสงค์ของการเจริญภาวนานั้นมีอยู่หลายขั้นตอนอย่างน้อย ขั้นตอนแรกก็เพื่อให้เราได้เข้าถึงความสุขในปัจจุบัน ความสุขในปัจจุบันเป็นความสุขที่แท้จริงที่มนุษย์ทั้งหลายแสวงหา หลวงพ่อถือว่าเป็นหน้าที่ในการที่เราจะต้องแสวงหาความสุขที่แท้จริง เป็นหน้าที่ของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีร่างกายอย่างนี้เนี่ย ร่างกายเราจะต้องใช้ทุกวัน ในการประกอบธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน การครองเรือน ร่างกายก็มีความจำเป็นจะต้องชำระกายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ต้องมีการผ่อนคลายต้องมีความสุข ถ้ากายและใจไม่มีความสุขซะแล้วน่ะ ภารกิจการงานอันใดเนี่ยก็ไม่ประสบความสำเร็จ หรือประสบความสำเร็จก็ไม่สมบูรณ์ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย 

 


                เพราะฉะนั้นถือเป็นหน้าที่ ที่เราจะต้องทำกายวาจาใจให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ผ่องใส ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข นี่เป็นหน้าที่ของเรานะจ๊ะ คล้าย ๆ หน้าที่ที่เราจะต้องรับประทานอาหารทุกวัน อาบน้ำอาบท่าล้างหน้าแปรงฟันกันทุกวัน มันเป็นหน้าที่ แต่หน้าที่ชนิดนี้เนี่ยเรามักจะลืม มักจะปล่อยปละละเลย ปล่อยให้ร่างกายจิตใจทรุดโทรมทุรพลภาพลงไปเรื่อย ๆ เลยลืมหน้าที่ที่สำคัญตรงนี้ไป เพราะฉะนั้นประการแรกน่ะปฏิบัติธรรม ก็เพื่อให้เข้าถึงความสุขภายใน จากความสุขภายในก็จะได้ขยายกว้างออกไป ไปทั่วคนรอบข้าง ไปทั่วทุกหนทุกแห่งที่เราไปอยู่ นี่เป็นอานิสงส์ประการแรกนะจ๊ะ 

 


                ขั้นต่อไปนั้น การที่เราปฏิบัติธรรมฝึกใจให้หยุดให้นิ่งเนี่ยก็ต้องการให้เข้าไปถึงความรู้แจ้งภายใน ความรู้แจ้งภายในจะบังเกิดขึ้นจากการได้เห็นแจ้ง ถ้าเห็นแจ้งแล้วความรู้แจ้งก็จะบังเกิดขึ้น การเห็นแจ้งจะบังเกิดขึ้นได้ต้องมีความสว่างภายใน ถ้าไม่มีความสว่างก็มองไม่เห็น เมื่อมองไม่เห็นก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ไม่ละไม่หลุดพ้นเพราะฉะนั้นนี่ความสว่างจึงมีความจำเป็นที่จะทำให้เห็นแจ้งนะจ๊ะ แต่นั่นจะรู้แจ้งได้ต้องเห็นแจ้ง เห็นแจ้งได้ก็ต้องความสว่างบังเกิดขึ้น ดังนั้นในขั้นต่อไปนั้น เราก็จะต้องทำที่ต่อเนื่องจากความสุขในเบื้องต้นนั้น คือให้เกิดความสว่างยิ่งขึ้นไป 

 


                ให้เกิดการเห็นแจ้ง ให้เกิดการรู้แจ้งภายในจนกระทั่งไปพบ สิ่งที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะมีอยู่ภายใน เช่นกายต่าง ๆ ดวงธรรมต่าง ๆ ว่าในกลางกายนั้นน่ะ มีดวงธรรมอยู่ภายในซึ่งเป็นต้นทางที่จะเข้าถึงกายต่าง ๆ ชีวิตต่าง ๆ ที่ละเอียดลุ่มลึกไปตามลำดับที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น มีความสุขยิ่งขึ้น มีความสมบูรณ์ความเต็มเปี่ยมของชีวิตยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นความสว่างนี้จะทำให้เราเห็นอย่างนั้น เข้าถึงดวงธรรม เข้าถึงกายภายใน เห็นทีเดียว เห็นกายภายใน เห็นกายมนุษย์ละเอียด เห็นกายทิพย์ เห็นกายรูปพรหม เห็นกายอรูปพรหม จนกระทั่งเห็นกายธรรม นี่คือสิ่งที่เราคาดไม่ถึงว่า สิ่งเหล่านี้เนี่ยมีอยู่ภายในตัวของเรา ผ่านกลางกายของเราเข้าไปน่ะ 

 


                เมื่อใจของเราละเอียดลุ่มลึกไปตามลำดับ มีกายต่าง ๆ มีชีวิตที่ประเสริฐละเอียดดียิ่งกว่าที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน นี่เป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึง แต่ว่าเมื่อเราเข้าถึงแล้วเพราะความสว่าง เพราะการเห็นแจ้ง เพราะการรู้แจ้ง เมื่อเราเข้าถึงไปแล้วก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เห็นกายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม เรื่อยไปตามลำดับ จนกระทั่งรอบรู้ทั่วถึงกายต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างดีแล้วเนี่ย เราจะรู้จะเห็นด้วยธรรมจักขุและญาณทัสสนะ หยั่งรู้ด้วยญาณทัสสนะของกายต่าง ๆ ที่เราเข้าไปถึง ในที่สุดก็จะเข้าถึงกายธรรม ถึงธรรมกาย ซึ่งเป็นกายที่สำคัญที่สุด เป็นกายตรัสรู้ธรรมที่มีความสว่างมาก เห็นก็ได้รอบทิศรอบทาง ทุกทิศทุกทาง เห็นทั้งอดีตเห็นทั้งปัจจุบัน เห็นทั้งในอนาคตของชีวิตของเรา และสรรพสิ่งทั้งหลาย 

 


                ความรู้แจ้งก็บังเกิดขึ้นทั้งในอดีต ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต รอบรู้ทั้งหมดเลย ญาณทัสสนะยังเกิดขึ้น เมื่อธรรมจักขุคือดวงตาของพระธรรมกายบังเกิดขึ้น มองเห็นไปตามความสว่างที่บังเกิดขึ้นไปตามลำดับ กายนี้จึงเป็นกายที่สำคัญ ถ้ามนุษย์ทุกคนในโลกได้เข้าถึงธรรมกาย ได้รู้จักธรรมกาย ได้ซาบซึ้งธรรมกาย สันติสุขที่แท้จริงก็จะบังเกิดขึ้นแก่โลก เพราะมนุษย์จะเลิกเบียดเบียนกัน จะมีความปรารถนาดีให้ซึ่งกันและกัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายไม่เคยรู้เรื่องกันมาก่อน ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ส่วนใหญ่มักจะเป็นอย่างนั้น ส่วนผู้ที่ใกล้ได้ยินได้ฟังก็มักไม่สนใจ มักด้นเดาเอาเดาเอา คาดคะเนเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วในที่สุดก็เอาสิ่งที่ตัวเดา คาดคะเนโดยไม่ได้ปฏิบัตินั้น มาเป็นเครื่องขวางหนทาง ของการเข้าถึงธรรมภายในของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย 

 


                แต่พวกเราทั้งหลายที่มาในวันนี้นี่เป็นผู้ ที่มีบุญที่ได้สั่งสมมาอย่างดีแล้ว จึงมีศรัทธาปสาทะเลื่อมใสเมื่อได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องธรรมกายนั้นก็สนใจเอาใจใส่เข้ามาศึกษาเข้ามาปฏิบัติ และในที่สุดบางท่านก็เข้าถึงธรรมกัน นี่เพราะบุญเก่าที่เราสั่งสมกันมา ธรรมกายเป็นของมีจริง บังเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ปฏิบัติจริง และเข้าถึงได้จริง ๆ เป็นของที่ที่ใครเข้าถึงก็รู้ได้เฉพาะตัว แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และเมื่อเข้าถึงแล้วเราจะพบว่าเรามีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมากมายทีเดียว และก็จะเป็นเครื่องยืนยัน ในสิ่งที่หลวงพ่อได้พูดไว้เมื่อซักครู่นี้ว่า ถ้ามนุษย์ทุกคนได้เข้าถึงธรรมกาย ซึ่งมีอยู่ภายในตัวของตัวเอง มนุษย์ก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง 

 


                สันติสุขที่ปรารถนาจะให้บังเกิดขึ้นแก่โลกก็จะบังเกิดขึ้นได้ การเบียดเบียนกันในโลก ความเห็นแก่ตัวต่าง ๆ ก็จะพลอยหมดสิ้นไป โลกก็จะร่มเย็นเป็นสุข ทุกคนจะมองซึ่งกันและกัน จะมองชาวโลกในลักษณะที่เป็นเพื่อนและเป็นญาติ เป็นเพื่อนก็คือเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันเหมือนกันหมด เสมอเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหนก็ตาม จะมีสภาพที่เหมือนกันคือเป็นเพื่อน เพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน แล้วก็จะมองในฉันท์ญาติว่าทุกคนในโลกนี้ประดุจครอบครัวเดียว เหมือนพี่เหมือนน้อง เพราะฉะนั้นความคิดที่จะเบียดเบียนกันหรือความเห็นแก่ตัวมันก็จะหมดสิ้นไปทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัดในโลกนี้ก็จะแบ่งปันกัน สันติสุขที่แท้จริงก็จะบังเกิดขึ้น ๆ

 


                เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนในโลกได้รู้จักธรรมกาย ได้เข้าถึงธรรมกายอย่างแท้จริง สิ่งนี่แหละจะบังเกิดขึ้นและเมื่อสันติสุขที่แท้จริงบังเกิดขึ้นเพราะทุกคนเข้าถึงสันติสุขภายในแล้ว สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ก็จะแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดี ซึ่งเราคาดไม่ถึงเลย ตั้งแต่ความเป็นอยู่ของเราก็จะดีขึ้น ดินอากาศฟ้าก็จะดีขึ้น ทุกอย่างจะดีไปหมด เพราะในภาวะนั้นมนุษย์จะคิดเหมือนกัน พูดเหมือนกัน แล้วก็จะทำอะไรที่ดี ๆ เหมือนกัน เป็นการทำเพื่อให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ให้ประโยชน์แก่โลก ดังนั้นธรรมกายนี่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราจะต้องปฏิบัติไปให้เข้าถึง เพื่อที่จะยืนยันให้แก่โลกว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และเป็นสิ่งที่ดีจริง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสเกี่ยวกับเรื่องธรรมกายนั้นเป็นของจริงแท้ ๆ นี่คือสิ่งที่จำเป็น ตัวของเราจะมีส่วนอย่างสำคัญ ในการสร้างสิ่งที่ดีงามนี้ ให้เกิดขึ้นแก่โลก ถ้าเราได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ จนกระทั่งบรรลุธรรมกาย เมื่อเราบรรลุแล้วเราก็จะได้แนะนำกันต่อ ๆ ไป ใครเข้ามาใกล้เราก็แนะนำต่อไป แสงสว่างจากธรรมกายองค์หนึ่งก็จะไปถึงอีกองค์หนึ่งต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็จะไปถึงทั้งหมดทั่วทั้งโลก เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เพ้อฝัน แต่เป็นสิ่งที่สามารถเป็นจริงได้ ถ้าเราเริ่มต้นจากตัวของเราเองก่อนนะจ๊ะ 

 


                เมื่อเราได้ทราบอย่างนี้แล้วต่อจากนี้ไป ให้ทุกท่านตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ ต่อจากนี้ก็เอาใจหยุดนิ่งไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นั้นอยู่ตรงจุดกึ่งกลางกายเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมติว่าเราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง เส้นด้ายเส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ นั้นเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ให้สมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ถ้าหลวงพ่อพูดถึงฐานที่ ๗ ต่อไปให้ท่านที่มาใหม่เข้าใจเอาว่าตรงนี้นะจ๊ะ

 


                ตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่ตั้งของใจเราคือถ้าจะทำให้สมาธิบังเกิดขึ้นตั้งมั่น และก็เข้าถึงทางของพระอริยเจ้า ไปสู่อายตนนิพพานจะต้องเอาใจมาตั้งไว้ที่ตรงนี้นะจ๊ะ เพราะฐานที่ ๗ ตรงกึ่งกลางกายตรงนั้นจะมีช่องทางเป็นจุดเล็ก ๆ มีเครื่องหมายเป็นช่องทาง เป็นจุดเบื้องต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพานซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทางชีวิตของเรา พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทุกพระองค์แต่เดิมท่านก็เป็นปุถุชนเช่นเดียวกับเรา ท่านก็เอาใจของท่านมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้นี่แหละ ตรงฐานที่ ๗ ที่เดียว ใจที่แวบไปแวบมาน่ะ ท่านเอามาหยุดอยู่ที่ตรงนี้เนี่ย เอาความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่าง รวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือทำความรู้สึกมาอยู่ที่ตรงนี้น่ะ 

 


                เมื่อท่านทำหยุดอย่างนี้เรื่อยไปน่ะ พอถูกส่วนเข้าคือหยุดนิ่งอย่างสบาย ๆ หยุดอย่างสบายนะจ๊ะ ท่านจะหยุดตรงนี้ นิ่ง ๆ โดยทิ้งสิ่งอื่นทั้งหมด หยุดนิ่งตรงนี้ที่เดียว หยุดแบบสบาย ๆ คือหยุดอยู่ตรงนี้เนี่ย ไม่ใช่หยุดแบบลำบาก คือไปบังคับให้หยุดไม่ใช่นะจ๊ะ ท่านหยุดอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย ทำใจเย็น ๆ หยุดนิ่งโดยไม่กังวลกับเรื่องอะไรทั้งหมด เพราะท่านมองเห็นแล้วพิจารณาอย่างใคร่ครวญดีแล้วว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน ไม่เป็นสาระแก่นสารอะไรน่ะ ไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นใจท่านก็ไม่ติดอะไรเลย มาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้เนี่ย หยุดอย่างสบาย ๆ พอถูกส่วนเข้าท่านก็เข้าถึงปฐมมรรค เห็นดวงใสบริสุทธิ์บังเกิดขึ้น ตอนแรกก็เป็นจุดสว่างเล็ก ๆ เหมือนดวงดาวในอากาศ 

 


                เมื่อใจหยุดนิ่งถูกส่วนต่อไปน่ะ จุดเล็ก ๆ ก็ขยายกว้าง โตขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แล้วใหญ่ขึ้นเรื่อยขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ใสแจ่มสว่างอยู่กลางกาย ความรู้สึกที่กายเนื้อท่านก็หมดไปน่ะ ท่านหยุดต่อไปอีกในกลางนั้นถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงศีล คือดวงศีลมีอยู่แล้วนะจ๊ะ เป็นของละเอียด พอถูกส่วนเข้าท่านเข้าถึง คือใจมันเคลื่อนเข้าไป แล่นเข้าไปถึงดวงศีลที่มีอยู่แล้ว เป็นดวงกลมคล้าย ๆ ดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์ละเอียด เบา อยู่ในกลางกายน่ะ ท่านก็หยุดต่อไปเรื่อย ๆ ในกลางดวงศีล ถูกส่วนดวงศีลขยายออก ในที่สุดก็เข้าถึงดวงสมาธิ เข้าถึงก็หมายถึงว่าสมาธิดวงนั้นน่ะมีอยู่แล้ว เป็นของละเอียดกว่าดวงศีล เมื่อหยุดหนักเข้าใจก็แล่นต่อไปถึงสมาธิ พอท่านหยุดในกลางดวงสมาธิถูกส่วนเข้า ดวงสมาธิก็ขยายกว้างออกไปน่ะ เข้าถึงดวงธรรมอีกดวงหนึ่งเรียกว่าดวงปัญญา ดวงปัญญาก็มีอยู่แล้ว อยู่ในกลางดวงสมาธิ ใสกว่าบริสุทธิ์กว่า 

 


                พอท่านหยุดอยู่ในกลางดวงปัญญาถูกส่วนเข้า ดวงปัญญาขยายส่วนกว้าง ออกไปน่ะ เข้าถึงดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติที่มีอยู่แล้ว อยู่ในกลางดวงปัญญา กลมเหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์กว่า สว่างกว่า ใจท่านก็หยุดอยู่ในกลางดวงวิมุตติต่อไปอีก ถูกส่วนเข้าเข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะที่มีอยู่แล้ว ลักษณะก็คล้ายกันคือกลมเหมือนดวงแก้วแต่สว่างกว่า ใสกว่า บริสุทธิ์กว่า พอหยุดเข้าไปในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะต่อไปน่ะ ท่านก็เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ลักษณะเหมือนตัวเอง ตัวของท่านเอง ถ้าของเราก็เหมือนกับตัวของเราเอง ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง ท่านชายเหมือนท่านชาย นี่ท่านเข้าไปเห็นกายมนุษย์ละเอียดของท่านใสบริสุทธิ์ นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของท่าน ท่านหยุดต่อไปอีกอย่างนี้แหละ เข้ากลางหยุดไปเรื่อย หยุดอย่างเดียวไม่ได้ทำอะไรเลย พอหยุดแล้วความสว่างเกิด พอสว่างก็เห็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว

 


                พอเห็นก็รู้ได้ด้วยญาณทัสสนะบังเกิดว่านี่เรียกว่าอย่างนั้น กายนี้เรียกว่ากายนั้นน่ะ รู้ได้ด้วยญาณทัสสนะทีเดียว ญาณทัสสนะหยั่งรู้ ความหยั่งรู้ก็บังเกิดขึ้น พอเห็นก็รู้เลย นี่เป็นสิ่งที่แปลก ท่านก็หยุดอย่างนี้เข้าไปเรื่อย ๆ ก็จะพบดวงธรรมอย่างนี้น่ะไปทีละชุด ชุดละ ๖ ดวง ๖ ดวง แล้วก็พบกายต่าง ๆ จากกายมนุษย์ละเอียดก็เข้าถึงกายทิพย์ จากกายทิพย์ก็เข้าถึงกายรูปพรหม จากกายรูปพรหมท่านก็เข้าถึงกายอรูปพรหม จากกายอรูปพรหมก็เข้าถึงกายธรรมเห็นพระธรรมกาย เกตุดอกบัวตูมใสเป็นแก้วงามไม่มีที่ติทีเดียว ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการตั้งแต่กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดา กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัต ซ้อนกันอยู่ภายในโดยผ่านดวงธรรมชุดต่าง ๆ ทีละ ๖ ดวง ๖ ดวงเข้าไปเรื่อย ๆ ท่านก็เข้าของท่านไปอย่างนี้ จนกระทั่งถึงที่สุดปลายทาง ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย

 


                เราจะได้ยินคำที่หลวงพ่อพูดเมื่อซักครู่นี้ว่า เมื่อถูกส่วนก็จะเข้าถึง คำว่าถูกส่วนนี่แหละสำคัญ เป็นเรื่องที่ว่าเราจะต้องรู้จักปรุงแต่งอารมณ์ของเรา เหมือนช่างเหมือนแม่ครัวฝีมือดีปรุงแต่งรสอาหาร จะต้องปรุงแต่งอารมณ์ของเราน่ะ นี่สำคัญนะ จะเป็นหรือไม่เป็น ให้พอดี ให้ได้อารมณ์สบาย พอดีของใครของมัน ถ้ามีความรู้สึกว่าพอดีเมื่อไหร่แล้วเกิดความพึงพอใจ จากระดับนี้รักษาเรื่อยไปจะถึงจุดแห่งการถูกส่วน การถูกส่วนต้องมาพร้อมกับอารมณ์สบาย อารมณ์แห่งความสุข ใจตั้งมั่น นิ่ง ละเอียด นี่แหละถูกส่วนจึงจะเข้าถึง ต้องรู้จักปรุงตรงนี้นะจ๊ะ ถ้าปรุงตรงนี้ไม่เป็น นั่งไปร้อยปีก็ได้นั่งเมื่อย ๆ อย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรใหม่ ๆ ให้ดู นั่งแล้วหงุดหงิด นั่งแล้วโมโหโทโส นั่งแล้วน้อยใจ รำพึงรำพันว่าเราไม่มีบุญวาสนาที่จะเข้าถึงธรรม ที่จริงไม่ใช่เลยน่ะ เรามาถึงตรงนี้แล้วนี่แสดงว่ากำลังบุญของเรามันเพียบพร้อม แต่ว่าเรายังทำไม่ถูกวิธีเท่านั้นเอง 

 


                เพราะฉะนั้นถูกส่วนก็คือปรุงอารมณ์ตรงนี้ให้ดีนะจ๊ะ ปรับทั้งร่างกายปรับทั้งจิตใจตรงนี้แหละ พอดีเดี๋ยวก็ถูกส่วน พอถูกส่วนถึงเอง ถึงเองพอถูกส่วนแล้วเข้าถึงเอง เห็นไม๊จะเข้าถึงเอง ตรงนี้สำคัญ เพราะฉะนั้นที่ตั้งตรงกึ่งกลางกาย ซึ่งเป็นทางที่พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จไปสู่อายตนนิพพาน ท่านอาศัยเส้นทางกลางกายของท่าน ซึ่งก็ตำแหน่งเดียวกับกลางกายของเรา เราก็จะต้องเอาใจมาหยุดอยู่ตรงนี้นะจ๊ะทุก ๆ คน ตรงนี้ แล้วปรุงอารมณ์ให้ดี ปรุงอารมณ์ให้ดีจนกระทั่งใจนี่หยุดนิ่ง เฉย ๆ อย่างสบาย ๆ ถ้าเรารู้จักปรุงอารมณ์ให้ดีนี่มันจะมีความรู้สึกชนิดหนึ่งเกิดขึ้น คือเรารู้สึกว่าเราไม่ต้องการอะไรเลยที่นอกเหนือจากนี้ รู้สึกว่าพอ รู้สึกพอแล้วดี เพียงพอแล้ว เราทำแค่นี้เพียงพอแล้ว เราไม่ต้องการอะไรอีกเลย

 


                แต่จากการที่เราทำอย่างนี้เพียงพอแล้ว ผลบังเกิดขึ้นคือเข้าถึงแสงสว่าง ถึงดวงธรรมหรือถึงกายต่าง ๆ นั้นแค่เป็นเพียงผลพลอยได้ เพราะฉะนั้นคำว่าพอแล้วนี่สำคัญนะจ๊ะ สำคัญทีเดียว ถ้ามองข้ามไปก็นั่งเมื่อยไปฟรี ๆ ถ้ารู้จักตรงนี้ทำอารมณ์ตรงนี้ให้ดี ให้รู้จักพึงพอใจ ทำความพอใจและก็รักษาอารมณ์พอใจอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เราจะภาวนาคำว่าสัมมาอะระหังก็ได้ ถ้าเรามีความรู้สึกว่าเราอดที่จะไปคิดเรื่องราวอะไรต่าง ๆ ฟุ้งซ่านไม่ได้ เราจะภาวนาสัมมาอะระหังควบคู่กันไปก็ได้ แต่ก็มีเทคนิคในการภาวนา จะต้องให้เสียงของคำภาวนา เป็นเสียงที่ละเอียดลึก ๆ เหมือนเสียงสวดมนต์ในใจเนี่ยะ ดังออกมาจากกลางกาย กลางท้องของเรา ถ้าเรามีความรู้สึกว่ามันจะฟุ้งหรืออดฟุ้งไม่ได้ ก็จะภาวนาควบคู่กันไปก็ได้ แต่เทคนิคในการภาวนานั้น จะต้องดังจากกลางท้องแล้วต้องเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ที่เราไม่ได้ใช้กำลังในการท่องคำว่า สัมมาอะระหัง เป็นเพียงความสําเหนียกหรือความสำนึกลึก ๆ ที่ละเอียดอ่อนว่าสัมมาอะระหัง ดังออกมาจากกลางท้องของเรา เทคนิคมันอยู่ที่ตรงนี้ แล้วก็พึงพอใจกับที่เราทำไปเรื่อย ๆ 

 


                แต่ถ้าหากเราทำเราภาวนาสัมมาอะระหังอย่างนี้ยังไม่เพียงพอ ยังอดฟังไม่ได้ เราจะนึกถึงภาพดวงแก้วใส ๆ หรือพระแก้วใส ๆ ควบคู่กันไปด้วยก็ได้นะจ๊ะ เอาอย่างเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นองค์พระหรือจะเป็นดวงแก้วใส ๆ ก็ได้ แต่ถ้าโชคดีเห็นทีเดียวทั้งคู่เลยคือเห็นทั้งองค์พระเห็นทั้งดวงแก้วไปด้วยเนี่ย ถ้าโชคดีเราก็มองดูไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๒ อย่างพร้อม ๆ กันไป อาจจะในกลางองค์พระมีดวงแก้วหรือกลางดวงแก้วมีองค์พระ เราก็ดูกันไปพร้อม ๆ กัน ไม่จำเป็นจะต้องทิ้งอย่างหนึ่งเอาอย่างหนึ่งนะจ๊ะ ซึ่งตรงนี้นี่หลวงพ่ออยากจะใช้คำว่า มีอะไรให้ดูเราก็ดูไป มีองค์พระให้ดูเราก็ดูองค์พระ มีดวงแก้วให้ดู เราก็ดูดวงแก้ว มีทั้งสองให้ดูเราก็ดูทั้งสอง ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ดวงแก้วหรือองค์พระบังเกิดขึ้น ถ้ามันสลัว ๆ เราก็ดูมันทั้งสลัว ๆ น่ะ ไม่ต้องไปพยายามบังคับให้มันชัดขึ้นมา ให้ได้ดังใจเหมือนเราลืมตาเห็นวัตถุอย่างจะ ๆ ตาอย่างนั้นนะจ๊ะ 

 


                คือถ้ามีสลัวให้ดูเราก็ดูสลัวไป ถ้าเราใจเย็นพอ อดใจได้ อดเปรี้ยวไว้กินหวานได้ ไม่ช้าสิ่งที่สลัวนั้น ก็จะชัดขึ้นมาเอง นี่เทคนิคอยู่ตรงนี้นะจ๊ะ ใสขึ้นมาเอง สว่างขึ้นมาเอง แต่ถ้าเราใจเย็นไม่พอ อะไรจะเกิดขึ้น คือเมื่อเราพยายามจะทำให้มันชัดขึ้นมา จะเป็นดวงแก้วจะเป็นองค์พระจะเป็นกายต่าง ๆ หรือจะเป็นแสงสว่างริบ ๆ ก็ตาม อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเราพยายามจะทำให้ชัดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาคือสิ่งที่เห็นตัว ๆ ลาง ๆ นั้นก็หายไปเลย พอหายไปเลย คราวนี้เราจะกลุ้มล่ะ เราจะหงุดหงิด เราก็จะพยายามควานหากันแล้ว ในที่สุดเราก็นั่งเมื่อยฟรี กลุ้ม ท้อใจ น้อยใจ เพราะไม่ถูกวิธีนะจ๊ะ

 


                ดังนั้นถ้าหากว่าฟุ้ง ทบทวนใหม่อีกทีนะจ๊ะ ภาวนาสัมมาอะระหังอย่างเดียว ไม่พอก็นึกเอาดวงแก้วหรือองค์พระใส ๆ ควบคู่กันไปด้วย อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมาทั้ง ๒ อย่าง ก็ดูไปทั้ง ๒ อย่าง อย่างสบาย ๆ มีให้ดูแค่ไหนก็ดูไปแค่นั้น อย่าลืมนะจ๊ะ มักจะลืมกันจัง ลืมจนหน้าตีทีเดียว ลูกหลวงพ่อบางคนลืมไปตั้งสิบกว่าปีเนี่ย ลืมไอ้ที่พูดเมื่อกี้เนี่ยะทุกทีเลย ลืมจนหน้าที่ มันทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติ แล้วก็มาพร่ำเพ้อพิไรรำพัน กับหลวงพ่อว่านั่งมาตั้งสิบกว่าปี ยังไม่เห็นได้ผลเลย ลูกคนไม่มีบุญวาสนามั้ง ถึงไม่ถึงอย่างที่เค้าเข้าถึงกัน อย่างนี้มันหน้าดี เพราะไม่ทำให้มันถูกวิธี 

 


                ถ้าทำถูกวิธีป่านนี้สิบกว่าปีที่แล้ว ก็เข้าถึงธรรมกายไปแล้ว มีความสุขไปแล้ว จะได้ไปทำหน้าที่ของยอดกัลยาณมิตร ได้สมบูรณ์ ด้วยความมั่นใจว่าเราได้เข้าถึงธรรมกายแล้ว แต่นี่ทำให้เสียเวลาตั้งสิบกว่าปี เพราะลืมคำสอนซึ่งดูเบาไปนิดนึง นึกว่ามันไม่สำคัญเลยฟังผ่าน ๆ แต่ว่าต่อมาลูก ๆ หลาย ๆ คนเมื่อหมดกรรม ก็จำคำสอนของหลวงพ่อได้เนี่ย ก็มาทำใหม่ ในที่สุดก็เข้าถึง ถึงดวงธรรม ถึงองค์พระมีความสุขเบิกบานทีเดียวแล้วก็มาพูดเหมือน ๆ กันน่ะอย่างกับนัดกันเอาไว้ว่าเอะทำไมมันง่ายจริง แล้วก็แย่งกันพูดให้หลวงพ่อฟังว่า เอะทำไมมันง่ายจังเลย หลวงพ่อก็ยืนยันบอกก็มันง่าย ๆ น่ะ ถ้าทำตามที่แนะ ที่นี้ไปทำไอ้อย่างที่ไม่ได้แนะอย่างนี้นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นมันน่าตี ใครเป็นอย่างนี้น่าตีนะจ๊ะ

 


                เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว ทำใจให้ใสให้หยุดนิ่งกันให้ดีนะจ๊ะ เราจะได้เข้าถึงพระธรรมกายกัน ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะทุก ๆ คน ให้ถูกวิธีนะ มีอะไรให้ดู ก็ดูไป ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ย้ำ ๓ ครั้งนะจ๊ะ ทำเงียบ ๆ นะ ลูกทุก ๆ คนนะจ๊ะ ตั้งใจให้ดีกันคราวนี้เราก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายอย่างสบาย ปรับใจของเราให้สบายให้หยุดให้นิ่งอยู่ในกลางกาย จะตรึกนึกถึงดวงใสหรือองค์พระอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้นะจ๊ะ หรือวางใจเฉย ๆ นิ่ง ๆ ให้ละเอียดอ่อนละมุนละไมนะจ๊ะ อย่างนี้ก็ได้ ใครเข้าถึงแสงสว่างก็เอาใจหยุดอยู่ที่ตรงกลางความสว่างตรงนั้นน่ะ ให้นิ่ง ๆ ใครเข้าถึงดวงธรรมภายใน ถึงจุดสว่างเล็ก ๆ เหมือนดวงดาวในอากาศ เหมือนดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ก็ได้ ให้นิ่ง ๆ อยู่กลางดวงธรรมนั้นนะจ๊ะ 

 


                ใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดก็เอาใจหยุดไปที่ กลางกายมนุษย์ละเอียด ใครเข้าถึงกายทิพย์ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายทิพย์ ใครเข้าถึงกายรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปกลางกายรูปพรหม ใครเข้าถึงกายอรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปกลางกายอรูปพรหม ใครเข้าถึงกายธรรมก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายธรรม ให้ใจหยุดในหยุด ๆ ๆ นิ่งอย่างสบาย ๆ ทุกคนเลยนะจ๊ะ กลางสภาวธรรมที่เราเข้าถึงกันทุกคน หยุดนิ่งให้สบาย ให้มี ความสุขทีเดียว ให้หยุดในหยุด ๆ ๆ นิ่ง ให้ใจใสที่สุดเลยนะจ๊ะ ให้ใจใสใจสบาย ใจเบิกบานแช่มชื่น ดวงบุญโตใหญ่มาก กระแสธารแห่งบุญที่ไหลเข้ามาประดุจฟ้าครอบ ที่กว้างขวางใหญ่โตไม่มีหมู่เมฆ คน สัตว์ สิ่งของกว้าง ๆ ออกไปน่ะ เต็มเปี่ยมไปด้วยบุญ ไหลเข้าสู่ศูนย์กลางกายของเราเต็มไปหมดเลย 

 


                ทำให้เราสมบูรณ์ด้วยโลกียทรัพย์และอริยทรัพย์คือมีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน ซ้อนอยู่ในกลางนั้นเต็มไปหมดเลย เมื่อเรามาเกิดในมนุษย์ดวงบุญที่ติดอยู่กลางกายมนุษย์ก็สว่าง พอสว่างก็ดึงดูดให้เรามาเกิดในตระกูลที่ดี ในปฏิรูปเทสคือสถานที่ดี ตระกูลดี บิดามารดาดี สมบัติเพียบพร้อมหมด ได้รูปสมบัติของร่างกายที่ดี มีคุณสมบัติความฉลาด ทรัพย์สมบัติพร้อมหมด ความรู้สึกนึกคิดก็มุ่งไปสู่อายตนนิพพานนะ มุ่งที่จะไปด้วยตัวเองและชวนผู้อื่นด้วย สิ่งแวดล้อมดีหมดเลย จนกระทั่งเราสมบูรณ์ไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุขมรรคผลนิพพาน เข้าถึงธรรมตั้งแต่ยังเยาว์วัย ไม่ลำบากยากจนเหมือนชาตินี้น่ะ ชาตินี้สมบัติยังเอามาใช้ได้ไม่เต็มที่ 

 


                ถ้าพูดถึงมรรคผลระหว่างเราเวียนว่ายตายเกิดนั้น บางชาติบางขณะเราก็ทำบุญ บางชาติก็ทำบาปสลับกันไปอย่างนี้ ทำทั้งบุญทำทั้งบาป บุญมากบ้างบาปน้อยบ้าง บาปมากบ้างบุญน้อยมั่ง ไอ้ที่ไม่ทำอะไรเลยไม่มีเลย มีแต่บุญและบาป เป็นผังสำเร็จติดอยู่ในกลางกายเรา เป็นผังมาเลย บังคับกันมา ถ้าทำบุญก็บังคับให้เสวยสุข ถ้าทำบาปก็บังคับให้เสวยทุกข์ มีอุปสรรคขัดสนมีความทุกข์โทมนัส ขัดข้องไม่สำเร็จเหล่านี้เป็นต้น ส่วนบุญนั้นก็ซ้อนลงมาเนี่ยเป็นผังสำเร็จตรงข้ามกัน มีความสุขกายสุขใจ พวกพร้องบริวารดี สมบัติพร้อม นึกคิดอะไรก็ได้พร้อมทุกอย่าง ไม่มีอุปสรรคอันใดเลย คล่องไปหมด มันซ้อนอยู่ในกลางกายเรา เพราะฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งต้องเข้าถึงธรรมกายถึงจะรู้จะเห็นได้

 


                บางทีนี่เรามีความรู้สึกว่า เราก็ตั้งใจทำบุญในชาตินี้อย่างดี ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร คิดร้ายให้โทษใคร ทำบุญด้วยตัวเองด้วย เป็นยอดกัลยาณมิตร ชวนคนอื่นมาทำด้วย และเจตนาก็ตั้งใจอย่างดีว่า จะช่วยสร้างธรรมกายเจดีย์ให้สําเร็จ แต่ทําไมการทำมาหากินจึงฝืดเคืองหรือตั้งใจอย่างนี้แต่ไปได้อย่างโน้น เหมือนชาวประมงทอดแหอยากได้ปลาแต่ไปเจองู ก็เพราะความซับซ้อนของผังสำเร็จ ที่เราทำซ้อนกันอยู่มาหลายภพหลายชาติ มันสลับกันให้ผล บางช่วงบุญให้ผล บางช่วงบาปให้ผลวิชชาธรรมกายกำลังแก้ไขอย่างนี้อยู่ พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานท่านไม่ได้ว่างเลย ลงแก้ไข พยายามที่จะเก็บยังสำเร็จของพญามารน่ะที่มันไม่ดี ที่จะเป็นอุปสรรคขัดข้องของชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่จำกัดเชื้อชาติศาสนาและเผ่าพันธุ์ ก็พยายามแก้ไขอยู่ตลอด อย่าว่าแต่ในโลกนี้เลย ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ท่านก็แก้ไขไม่ได้หยุดเลย แม้แต่วินาทีเดียว ท่านก็ทำอย่างนี้แหละ แก้ไขเรื่อย แต่พญามารก็มีฤทธิ์ เราก็มีฤทธิ์มันยังสู้กันอยู่นะจ๊ะลูกทั้งหลาย

 


                เพราะฉะนั้นแม้เราจะเป็นนักบุญ ที่ขัดสนด้วยทรัพย์ แต่เราจะต้องเต็มเปี่ยมด้วยกำลังใจอันสูงส่งทีเดียว พระนิพพานท่านทําผังสําเร็จ ไว้ที่กลางกายเราตรงฐานที่ ๗ เอาไว้สําหรับเชื่องโยงระหว่างเรากับท่าน เพื่อท่านจะสอดละเอียดส่งบุญบารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิเฉียบขาด สายสมบัติต่าง ๆ มาให้เรา ให้เรามีความสุขปราศจากทุกข์โศกโรคภัยต่าง ๆ มีสมบัติอย่างเต็มเปี่ยม ประกอบธุรกิจการงานให้บรรลุเป้าหมาย ให้ได้สมหวังอย่างที่ตั้งใจเอาไว้น่ะ ทำตลอดเวลา ผังสำเร็จที่จะเชื่องโยงกับท่านได้มีที่เดียวคือที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ พระบรมโพธิสัตว์ของเรา พระสิทธัตถราชกุมาร เมื่อวันที่ท่านจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในยามเย็นนั้นท่านก็เจอพญามาร เป็นจริงนะจ๊ะ มีจริง ๆ ทีเดียว เมื่อเจอแล้วท่านทำอย่างไร สะดุ้งหวาดกลัว บ่นเพื่อพิไรรำพันรี หรือลุกหนีไปเลย อยู่นิ่ง สู้ หรือหนี 

 


                ในวันนั้นท่านสู้ สู้ด้วยอาการที่นิ่ง ๆ ใจท่านหยุดนิ่งไปที่กลางกาย นึกถึงบุญบารมี ๓๐ ทัศ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาบารมี ที่สร้างมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ให้มาช่วยเอาชนะศึกพญามารในครั้งนี้ให้ได้ และในที่สุดเมื่อใจท่านจรดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นทางผ่าน ที่จะเข้าถึงผู้รู้ ผู้มีอานุภาพ พระธรรมกายในอายตนนิพพาน ซึ่งเป็นผังสำเร็จติดไว้ในกลางกาย เมื่อนึกถึงบุญหนักเข้า กระแสธารแห่งบุญเป็นประดุจอัตโนมัติเหมือนกดสวิทซ์ ไฟก็สว่างวาบขึ้นมาเลย พระนิพพานก็สอดละเอียด เข้ามาตรงกลางกาย ตรงฐานที่ ๗ กำลังบุญเต็มเปี่ยมเต็มที่ ในที่สุดก็เอาชนะได้ ลูก ๆ ทุกคนนะจ๊ะเรามีของดีอยู่ในตัว มีจุดที่จะเชื่อมโยงกับผู้มีอานุภาพ เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐ ทำไมไม่ทำละจ๊ะ 

 


                เมื่อเรามีทุกข์ มีทุกข์แล้วอย่าไปเสียเวลาบ่นเพ้อพิไรรำพัน อย่าไปนึกถึงเชือกผูกคอตาย อย่าไปนึกถึงยา กินยาตาย อย่าไปนึกถึงลูกกระสุน อย่าไปนึกอะไรที่นอกเหนือจากนี้เป็นสรณะเลย นึกถึงบุญนะจ๊ะ เราสั่งสมบุญมาเยอะ เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกาย พอถูกส่วนเข้า พระนิพพานท่านพรึบมาทีเดียวเลย มาองค์เดียว ถ้ามาองค์เดียวหลวงพ่อ ไม่ใช้คำว่าพรึบ พรึบนี่มาเป็นกองทัพทีเดียว ซ้อนกันมาหนาแน่นทีเดียวซ้อนผุด ๆ เกิดขึ้นมาในกลางนั้น เพื่อเอาชนะพญามาร เพื่อให้ลูก ๆ ทั้งหลายประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่พึงปรารถนา เพราะฉะนั้นเมื่อยามใดที่ลูกทั้งหลายประสบทุกข์ จะเป็นเรื่องทุกข์โศกโรคภัยพิบัติต่าง ๆ ธุรกิจการงานหรือสิ่งอะไรก็ตาม อย่าเสียเวลาบ่นเพ้อพิไรรำพัน ให้นึกถึงสรณะภายใน ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐนะจ๊ะ ตรงตำแหน่งที่จะเชื่อมโยงได้คือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้วตรงนั้นเราจะพบท่านผู้มีอานุภาพ ที่จะช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีนั่นหมดสิ้นไป

 


                เมื่อลูก ๆ เข้าใจอย่างนี้ ต่อจากนี้ไปอธิษฐานจิตให้ดีว่าด้วยอานุภาพแห่งการปฏิบัติธรรมในวันนี้ อานุภาพแห่งความตั้งใจจริงที่จะสร้างธรรมกายเจดีย์ให้สำเร็จให้จงได้ ทั้งทำด้วยตัวเองก็ดี ชวนบุคคลอื่นก็ดี ขออานุภาพแห่งบุญของพระนิพพานให้หลั่งไหลมาในกลางกาย ดลบันดาลให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจการงานสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาวสร้างบารมีไปนาน ๆ ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ประสบความสำเร็จในชีวิตในทุก ๆ ด้าน ทั้งกายศึกษาเล่าเรียน ธุรกิจการงาน ประกอบธุรกิจการค้าการขายอะไรต่าง ๆ ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญมีสมบัติมาก ๆ มีแล้วก็ไม่ติดในสมบัตินั้น มีแล้วก็ใช้สมบัติให้เป็น เอาไว้สร้างสันติสุข ให้เกิดขึ้นแก่โลก ให้มีกำลังใจที่สูงส่งเข้มแข็ง เอาชนะศึกทั้งหลายทั้งปวงให้ได้สร้างบารมีให้ได้ตลอดรอดฝั่งอย่าได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ให้ไปถึงที่สุดแห่งธรรม จะนึกคิดอะไรก็ให้สมความปรารถนา อธิษฐานจิตกันอย่างนี้นะจ๊ะ ทุก ๆ คนนะจ๊ะ อย่าให้ใจวอกแวก 

 


                ตอนนี้พระนิพพานท่านกำลังสอดละเอียดจรด ที่ศูนย์กลางกายใสสว่างเต็มไปหมดเลย ซ้อนอยู่ในไส้กลางของกลางเต็มไปหมดเลย มีความสว่างหมด แล้วท่านกำลังเชื่อมโยงให้ไปติดกับธรรมกายเจดีย์ติดกับผู้มีบุญทั้งหลาย ส่งผังสำเร็จให้มาทำหน้าที่เป็นยอดกัลยาณมิตร เวลาลูก ๆ ทุกคนไปทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรไปแห่งหนตำบลใดก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยม มีถ้อยคำที่ไพเราะ ถ้อยคำที่มีพลังชนะใจคนหมดทุก ๆ คน ใครได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องธรรมกายเจดีย์ก็ปิติเลื่อมใส ขนพองสยองเกล้า ให้ดีอกดีใจมาช่วยกันสร้างกัน สำเร็จกันอย่างคึกคักโกลาหลทีเดียว เพราะฉะนั้นตอนนี้ ท่านลงซ้อนเต็มที่ ถ้ากายหยาบของเรานี่ ทุ่มชีวิตทำหน้าที่กัลยาณมิตรเต็มที่แล้วล่ะก็ ความสำเร็จก็จะบังเกิดขึ้น ตอนนี้ท่านกำลังสอดละเอียดลงมา ให้ลูก ๆ ทุกคนอธิษฐานใจ อธิษฐานจิตกันตามใจชอบทุก ๆ คนเลยนะจ๊ะ 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.054216333230337 Mins