คุณานันทเถระ ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ตอนที่ ๔

วันที่ 03 กค. พ.ศ.2553

ตอนที่ ๔

หัวข้ออภิปราย : พระเวสสันดรกับการบริจาคบุตรธิดาและภรรยา

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างหัวข้ออภิปรายบางประเด็น ที่ยกมาพอสังเขป…

ฝ่ายตรงข้ามกับท่านคุณานันทะ ได้เปิดประเด็นว่า การที่พระเวสสันดรทรงบริจาคพระชายา พระโอรส และพระธิดาให้เป็นทานนั้น เป็นการกระทำที่โหดร้ายมาก ธรรมดาแล้วภรรยาถือได้ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสามี ลูกเปรียบประดุจสร้อยทองคล้องใจของพ่อแม่ การทอดทิ้งบุตรภรรยานั้น สมควรได้รับการตำหนิติเตียน และการประณามจากสังคม และยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอีกด้วย นี่คือข้อหาที่อีกศาสนาหนึ่งกล่าว

ท่านได้ชี้แจงประเด็นนี้อย่างสุขุม ลุ่มลึก นุ่มนวลว่า การบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้นั้น พระองค์จะต้องเอาชนะความโลภ และความยึดมั่นถือมั่นของพระองค์ให้ได้ การบริจาคพระโอรส และพระธิดาในครั้งนี้ แท้จริงแล้วกลับได้ประโยชน์ คือแทนที่พระโอรสและพระธิดาจะต้องทนลำบากอยู่ในป่าในเขากับพระราชบิดา แต่ว่าไม่นานนัก ก็จะได้กลับไปอยู่กับพระอัยยิกา คือ ปู่ในพระราชวังตามเดิม ส่วนพระนางมัทรีนั้นเมื่อท้าวสักกเทวราชรับบริจาคไปแล้ว ก็ถวายคืนแก่พระเวสสันดร ณ ที่นั้นนั่นเอง ไม่ได้หวังจะนำไปเป็นภรรยาจริงๆ

อีกประการหนึ่ง เราต้องดูว่า ตอนสุดท้ายท่านได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดกิเลสอาสวะ พระนางมัทรีก็มาเป็นพระนางพิมพา ก็ได้รับประโยชน์จากการบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตเถรี พระราหุลก็เป็นพระอรหันต์ พระอุบลวรรณาเถรีก็เป็นพระอรหันตเถรี หมายถึงว่า ภพชาติสุดท้ายนี้ได้รับประโยชน์กันหมดทุกคน ส่วนระหว่างการสร้างบารมีจะทำอย่างไรนั้น ถือว่าเป็นวิธีการ แต่ตอนสุดท้าย ทุกคนบรรลุเป้าหมายปลายทางของชีวิต คือ ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน

อย่าลืมว่าในชาติที่เกิดเป็นพระเวสสันดรนั้น ท่านมุ่งพระโพธิญาณ ซึ่งประโยชน์ใหญ่จะเกิดขึ้นกับพระองค์และชาวโลก รวมทั้งเทวดาอีกมากมายนับไม่ถ้วน ท่านจึงตัดสินใจเดินไปที่สระบัว ซึ่งขณะนั้นกัณหาและชาลีแอบซ่อนอยู่ แล้วท่านพูดโดยไม่ได้ขู่เข็ญลูกทั้งสองเลย แต่พูดด้วยจิตที่เป็นกุศลว่า

 

“ลูกกัณหา ชาลี ช่วยมาเป็นสำเภาทองให้พ่อสักหน่อยเถิด เพื่อที่พ่อจะได้ข้ามไปถึงฝั่งพระนิพพาน ถึงตรงนั้นแล้ว พ่อจะได้มาทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่มนุษย์และเทวดา ลูกทั้งสองก็จะได้ประโยชน์อันนี้ด้วย เรามาสร้างบารมีร่วมกันเถิด

พ่อจะทำหน้าที่ของผู้ให้ ลูกก็ทำหน้าที่ของลูก ให้ร่วมบุญกับพ่อ คือ เป็นผู้ให้เช่นเดียวกัน ให้เขาเอาตัวของลูกไป เขาจะเอาไปทำอะไรก็แล้วแต่ ไปรับใช้เขานะ เพราะว่าเราไม่ใช่ว่าไม่เคยสร้างบารมีกันมาอย่างนี้ เราให้กันมาตั้งมากมายแล้ว ให้อีกสักครั้งทำไมจะไม่ได้ และอีกประการหนึ่ง ทางที่จะไปนั้น มันก็ผ่านเมืองที่ปู่ของเจ้าอยู่ พ่อจะตั้งค่าตัวเอาไว้ สำหรับให้คุณชูชกเขาไถ่ตัว เพราะเขาขาดแคลนเงิน เขาก็ไม่มีเงินไปจ้างใครให้มาเป็นลูกจ้าง เขาถึงมาขอลูก แต่จริงๆแล้วเขาต้องการเงิน เขาไม่ต้องการลูกหรอก ลูกอยู่ที่ในป่ากับพ่อนี่ ถึงจะอบอุ่นแต่มันก็ลำบาก ถ้าไปอยู่กับปู่จะดีกว่าอยู่กับพ่อ เพราะพ่ออยู่ในป่า

ไปตรงนั้นอยู่เวียง วัง คลัง นา มันก็สบายดี และจะได้มีโอกาสกราบทูลเสด็จปู่ให้ทราบว่า ตอนนี้พ่อเป็นอย่างไร เมื่อปู่เข้าใจก็จะได้ประชุมชาวเมืองเขาว่า ให้โอกาสพ่อกลับเมืองได้ ลูกก็เหมือนเป็นทูตด้วย เพราะฉะนั้น ไปเถิดนะลูกนะ”

 

ท่านพูดอย่างนี้ ไม่ได้ขู่เข็ญอะไรเลย เพราะฉะนั้นลูกทั้งสองได้ฟังแล้ว กลับรู้สึกปลื้มใจว่า เราจะได้เป็นสำเภาทองเพื่อไปกราบทูลปู่ให้ทราบ ท่านจะได้หารือกับชาวเมืองที่ขับไล่พ่อออกมา ชาวเมืองสงสารก็จะได้รับพ่อกลับไป ดังนั้น จึงเป็นคำพูดที่ไม่โหดร้ายเลย

 sp530703_2.jpg

ส่วนพระนางมัทรีก็เช่นเดียวกัน ท่านพูดยกใจว่า “ถ้าหากเราอยู่ร่วมกันอย่างนี้ เราก็จะลำบากกันไปทุกชาติ เหมือนชาติ ที่ผ่านมาเราก็ลำบาก ไปพระนิพพานกันเถิด เมื่อจะไปมันก็ต้องสั่งสมบุญกันมากๆ นี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้สร้างบารมีกันขนาดนี้ เราร่วมบุญกันเถิดนะ ให้โอกาสกับพี่ เพื่อที่จะได้สร้างบารมีให้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สองเราจะได้บุญด้วยกัน พอถึงตรงนั้นเราจะได้บรรลุไปพร้อมๆกัน”

ท่านพูดคุยแต่ในสิ่งที่ดีๆ เช่นนี้พระนางมัทรีเองก็เข้าใจและชื่นอกชื่นใจว่า ตัวจะได้เป็นสำเภาทองอีกเหมือนกัน และความจริงแล้วพระอินทร์ก็ไม่ได้รับพระนางไปเป็นภรรยา ในที่สุดก็ส่งพระนางคืนพระเวสสันดร เพราะฉะนั้น พระเวสสันดรท่านไม่ได้บังคับพระนางมัทรี กัณหา และชาลีเลย ทั้งไม่ได้เป็นการโหดร้าย แต่เป็นความสมัครใจกันทั้งครอบครัว เพราะท่านพูดให้เข้าใจด้วยเหตุด้วยผล

อีกประการหนึ่ง การบริจาคบุตรภรรยา เป็นธรรมเนียมของบรมโพธิสัตว์ เพราะผู้ที่จะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น หากผูกพันต่อสิ่งใดแม้เพียงนิดเดียว ก็จะไปสู่อายตนนิพพานไม่ได้ ทำพระนิพพานให้แจ้งไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใจจะต้องไม่ผูกพันกับสิ่งใดเลย จึงจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้

ประเด็นที่ทั้งสองฝ่าย นำมากล่าวหักล้างกันนั้น นับเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะสำหรับชาวพุทธเท่านั้น แต่เป็นความรู้ที่สำคัญต่อมนุษย์ทุกๆคนไม่ว่าคนๆนั้นจะนับถือศาสนาใดก็ตาม อย่าลืมว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้มีไว้สำหรับแข่งกับศาสนาอื่น แต่มีไว้สำหรับสอนชาวโลกในเรื่องความเป็นจริงของชีวิต โดยเฉพาะเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งไม่มีสอนในศาสนาใดๆ สอนเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขอย่างแท้จริง ตั้งแต่ฆราวาสจนกระทั่งถึงผู้ปรารถนาจะทำพระนิพพานให้แจ้ง สอนหมดทุกระดับ สอนทุกๆคนในโลกนี้

เรารักษาพระพุทธศาสนาไว้ ก็ไม่ใช่เพื่อจะแข่งกับศาสนาอื่น เพราะคู่แข่งที่แท้จริงของเรา คือ เวลา และศัตรูที่แท้จริงของเรา คือ พญามาร ที่ส่งกิเลสอาสวะมาบังคับบัญชามนุษย์ ดังนั้น ศาสนาอื่น หรือใครๆ ก็ไม่ใช่ศัตรู ไม่ใช่คู่แข่ง ที่ท่านคุณานันทะโต้วาทะนั้นด้วย ท่านก็พูดด้วยจิตที่ประกอบไปด้วยความเมตตา เหมือนหมอรักษาไข้คนป่วย มีอาการเพ้อด้วยพิษไข้อย่างไร ก็รักษากันไปตามอาการอย่างนั้น

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.04188943306605 Mins