คุณานันทเถระ ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ตอนที่ ๗

วันที่ 07 กค. พ.ศ.2553

ตอนที่ ๗

หัวข้ออภิปราย : การปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฝ่ายตรงข้ามท่านคุณานันทะ ได้อภิปรายโจมตีว่า พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานเยี่ยงคนอนาถา โดยมีเนื้อหาการบรรยายว่า การปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงอาพาธเป็นโรคท้องร่วงอย่างหนัก หลังจากเสวยเนื้อสุกรอ่อนที่ดาบสจุนทะทำมาถวาย บังเกิดทุกขเวทนาอย่างรุนแรง ในระหว่างทางไปเมืองกุสินารา ทรงเป็นลมและล้มลงหลายครั้ง แล้วต้องทรงดื่มน้ำจากแม่น้ำสายเล็กๆสายหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ปรากฏเลยว่า พระองค์ได้ทรงใช้อิทธิฤทธิ์ใดๆ ทั้งไม่ปรากฏเลยว่า มีเหล่าพรหมหรือเทวดาลงมาถวายการดูแลแต่อย่างใด จึงเห็นได้ชัดว่า เรื่องพุทธานุภาพเป็นถ้อยคำที่เชื่อถือไม่ได้ จะหลอกลวงได้ก็แต่คนโง่เขลาเท่านั้น ในที่สุดก็ทรงปรินิพพานเช่นเดียวกันกับคนอนาถาคนหนึ่งเท่านั้น นี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวโจมตี

ท่านคุณานันทะฟังแล้วก็ไม่ได้แสดงความหงุดหงิดอะไร ใจท่านเบิกบาน มองดูคู่สนทนาเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กอย่างนั้น แล้วก็ชี้แจงว่า พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานตามที่พระองค์ทรงกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีก ๓ เดือน เราจะปรินิพพานที่เมืองกุสินารา คือ ทรงรู้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ใช่อาพาธอย่างกะทันหัน

ท่านคุณานันทะกล่าวแก้ไขรายละเอียดที่ไม่รอบคอบของฝ่ายศาสนาอื่นว่า นายจุนทะไม่ใช่ดาบส ตามที่ฝ่ายตรงข้ามได้กล่าวว่า พระองค์ได้เสวยเนื่อสุกรอ่อนที่ดาบสจุนทะนำมาถวาย แต่ความจริงทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า นายจุนทะเป็นบุตรของนายช่างทอง ส่วนสูกรมัทวะ หรือเนื้อสุกรอ่อนนั้น ท่านกล่าวว่า อาจจะเป็นเห็ดชนิดหนึ่งก็ได้

การที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานในวันนั้น ก็เป็นไปตามพระพุทธกำหนด เมื่อทรงปลงอายุสังขารแล้ว คือ ทรงมีพระประสงค์ที่จะปรินิพพานในวันนั้นอยู่แล้ว วัน เวลา สถานที่ ที่จะเสด็จปรินิพพานนั้น พระองค์ได้ทรงประกาศล่วงหน้าไว้แล้วถึง ๓ เดือน ดังนั้น ไม่ว่าจะทรงเสวยอะไรก็ตาม หรือจะแสดงฤทธิ์หรือไม่ก็ตาม ก็จะต้องเสด็จดับขันธ์ในวันนั้นนั่นเอง

เมื่อวันนั้นพระองค์ต้องเสด็จดับขันธ์อยู่แล้ว จะทรงแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่ออะไร หรือใครจะมาช่วยเหลืออย่างไรก็ต้องเสด็จดับขันธ์อยู่นั่นเอง ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ได้ทรงปรินิพพานเพราะเสวยสูกรมัทวะ ที่ถูกควรจะพูดเสียใหม่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยสูกรมัทวะในวันปรินิพพาน

นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ในชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์นั้น พระองค์ยังได้ตรัสถามเหล่าพระสาวกว่า ใครสงสัยธรรมะข้อใดใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ให้ถามได้ทั้งหมด เราจะตอบทุกข้อ แต่ก็ไม่มีใครสงสัย ไม่ใช่ว่าเกรงใจพระองค์ แต่เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนจนกระทั่งเข้าใจธรรมะทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้งแล้ว

จนกระทั่งในช่วงสุดท้าย มีผู้เข้าไปกราบทูลถาม คือ ท่านสุภัททะ พระองค์ก็ยังทรงมีพระมหากรุณา ตรัสสอนท่านสุภัททะจนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นศิษย์คนสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ทรงเป็นบรมครูที่สง่างาม ยากที่จะมีครูคนใดในโลก ที่สอนให้ศิษย์ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อตรัสสอนท่านสุภัททะแล้ว พระองค์ยังให้โอวาทสุดท้ายแก่เหล่าพุทธบริษัท ให้ดำรงประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เป็นปัจฉิมโอวาทอันทรงคุณค่ามาถึงปัจจุบันนี้ทีเดียว

ในขณะสุดท้ายของพระชนม์ชีพ พระอนุรุทธะผู้มีตาทิพย์ ยังสอดส่องด้วยทิพยจักษุของท่าน ถึงการดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์ อยู่ในสายตาของผู้ที่เป็นเลิศในทางทิพยจักษุ ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่า ขณะนี้พระองค์ทรงเข้าฌานต่างๆ เข้าสมาบัติไม่ซ้ำสมาบัติไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกส่วนตกศูนย์เข้าสู่อายตนนิพพาน

ท่านคุณานันทะได้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกาให้กลับคืนมาอีกครั้ง นับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย อันที่จริงความคิดของท่านที่จะปกป้องพระพุทธศาสนา มีมาตั้งแต่ในวัยเด็กแล้ว ท่านคิดว่า ท่านเป็นลูกพญานกอินทรีย์ ไม่ได้คิดว่าเป็นลูกเจี๊ยบเหมือนเด็กทั่วๆไป เมื่อบวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ ๑๒ ขวบ ท่านก็คิดใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็ก ถึงแม้ตัวเล็ก แต่ว่ามีพลังอย่างมหาศาล ที่จะต่อสู้พื่อปกป้องสิ่งที่ดีงามเอาไว้ ให้เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.030779333909353 Mins