ภาวะความเป็นเทพเป็นเทวดาในสวรรค์นั้น เกิดจากการบำเพ็ญบุญ สะสมความดี ขัดเกลากิเลสตามลำดับขั้น เมื่อละโลกแล้วจึงได้เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม แต่เทวดาก็ยังไม่หมดกิเลส พอถึงเวลาเทวดาหมดบุญก็เหมือนหมดเสบียง ต้องกลับมาเกิดอีก ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่
แต่เทวดาก็รู้ว่า ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้า หรือเมื่อพระพุทธศาสนาสูญไปจากโลกแล้ว ก็จะไม่มีผู้สอนวิธีทำความดี ตัวเองก็ระลึกชาติไม่ได้ เพราะว่าเวลามาเกิด ต้องผ่านระยะเด็กที่อยู่ในครรภ์ วิธีทำความดีในชาติที่แล้วๆ มาก็เลยลืม พอเป็นผู้ใหญ่ก็นึกไม่ออกว่าจะทำความดีอย่างไร เมื่อไม่มีพระพุทธเจ้ามาชี้แนะ ก็จะไม่ได้ทำความดี มิหนํ้าซํ้าเผลอๆ อาจไปทำความชั่วเข้า เลยต้องตกนรก คนโง่มากตกนรกมาก ทำให้สวรรค์ร้างได้เหมือนกัน
เทวดาที่เหลือบนสวรรค์จึงผวาไปตามๆ กัน เพราะเทวดารู้ตัวว่า ถ้าหมดบุญลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ในขณะที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาคอยชี้ทางให้ ก็จะตกนรกเหมือนพรรคพวกที่ไปรุ่นแรกๆ แน่นอน เทวดาอกสั่นขวัญแขวนกลัวจะตกนรกเหมือนกัน แล้วจะแก้ไขอย่างไร ประชุมกันทีเดียว เวลานั้น พระสัมมาส้มพุทธเจ้าของเรายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
เนื่องจากท่านสร้างบารมีไว้มาก มีพระบริสุทธิคุณอันยิ่งใหญ่ ใจท่านใสสว่างมากจนกายก็ใสสว่างปรากฏเป็นรัศมีออกจากตัว รุ่งโรจน์สว่างไสวจนเทวดา พรหม ทุกหนทุกแห่งมองเห็นได้ จึงรู้ได้ทันทีว่า บารมีของท่านพร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เทวดาจึงพร้อมใจกันไปทูลเชิญ
"พระพุทธเจ้าข้า ถึงเวลาแล้ว ในเวลานี้โลกวุ่นวายนัก ขออัญเชิญพระองค์ไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกเถิด แล้วพวกข้าพเจ้าก็จะขอตามลงไปปฏิบัติธรรมในสำนักของท่านด้วย"
กราบอ้อนวอนอัญเชิญท่านจุติไปเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อไปเป็น พระพุทธเจ้าไปโปรดสัตว์โลก การเชิญนี้มิได้มาเชิญทีละคนสองคนนะ เทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด พร้อมใจกันมาอัญเชิญทีเดียว
ความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระภาวนาวิริยคุณ