“ธรรมดาบุคคลทั้งหลาย ย่อมหวั่นไหวต่อการสรรเสริญ” คือใครสรรเสริญ แก้ม หน้าแทบแตก แล้วการนินทา คือ หน้าเหี่ยวลงมา เหมือนน้ำเต้าที่ถูกแดดเผาน้ำระเหยไปเลยฝ่อ ผิวไม่เต่งตึงอย่างนั้น “ แต่สมณะของลูก แม้จะถูกนินทาหรือสรรเสริญก็ตาม ท่านก็เฉย ๆ วางใจเป็นกลาง ๆ ”
“ธรรมดาบุคคลทั้งหลาย คือทั้งโลกนี้ ย่อมยินดีเมื่อได้รับความสุข และไม่ยินดีเมื่อได้รับความทุกข์ แต่สมณะของลูก แม้ท่านจะมีสุขหรือทุกข์ก็ตาม ท่านก็เฉย ๆ กล่าวคือ โลกธรรม ๘ ประการ เป็นธรรมประจำโลกนี้ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีคนสรรเสริญมีคนนินทา มีสุขมีทุกข์ ท่านเฉย ๆ เพราะท่านไม่กระเทือน”
เมื่อนางจูฬสุภัททากล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธองค์และเหล่าพระอริยสาวกจบแล้ว มารดาของสามีจึงถามกลับว่า “ลูก… ที่ลูกพูดมาเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ” คือถาม ไม่ใช่กระทบกระเทือนแดกดัน เพิ่งเคยได้ยิน
“เป็นจริงทุกประการค่ะคุณแม่”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ลูก … แม่อยากเห็นแล้วแหละ ช่วยนิมนต์สมณะที่ลูกว่า มาให้แม่ดูหน่อยได้ไหมจ๊ะ ลูกจะนิมนต์มาได้เมื่อไหร่ล่ะ แม่อยากเห็นเร็ว ๆ ลูกพอจะบอกแม่ได้ไหม”
“ พรุ่งนี้เลยจ๊ะแม่”
“พรุ่งนี้เลย มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็พระสมณะของลูกอยู่ไกลถึงเมืองสาวัตถี ลูกรู้ไหมเมืองอุคคนครอยู่ห่างจากเมืองสาวัตถี ๑๒๐ โยชน์ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น ๒ เดือน ลูกมันเป็นไปได้อย่างไรจ๊ะที่จะนิมนต์มาพรุ่งนี้” มันตั้ง ๑, ๙๒๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางสองเดือน อย่าลืมสมัยก่อนขี่เกวียน
“ลูกทราบดีจ๊ะแม่ แต่ลูกมั่นใจว่า พระพุทธองค์พร้อมเหล่าพระสาวก จะมาถึงเรือนของเราในวันพรุ่งนี้แน่ ๆ” แสดงว่าไม่ได้มีความคลางแคลงใจพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และ สังฆานุภาพเลย เพราะนางมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
“ถ้าลูกมั่นใจเช่นนั้นนิมนต์มาเลย แม่อยากเห็น”
“แม่คะ ถ้าเช่นนั้นลูกขอกราบถวายภัตตาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกทั้ง ๕๐๐ รูป ในวันพรุ่งนี้ด้วยได้ไหมคะ”
“เชิญเถิดลูก ลูกจัดภัตตาหารประณีตให้บริบูรณ์เลย” นางจูฬสุภัททาจึงได้ไปตระเตรียมมหาทานเพื่อถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยเหล่าพระสาวกในวันรุ่งขึ้นทันที
วิธีกราบนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นเรื่องที่จารึกบันทึกไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปีทีเดียว นางจึงขึ้นไปบนปราสาทชั้นบนสุดพร้อมด้วยเครื่องสักการะ มีของหอม เครื่องอบ ดอกไม้ เทียนธูป มีใจเบิกบานแช่มชื่นทีเดียว แล้วนางก็หันหน้าไปทางทิศที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน พร้อมกับก้มกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง
แล้วก็สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ทำการบูชาด้วยของหอม เครื่องอบ ดอกไม้ และธูป แต่ถ้าเราไม่มีเราก็พนมมือต่างเทียนธูป ดอกไม้ ไว้ระหว่างอกของเรา เคารพด้วยดวงใจ แล้วก็ก้มกราบด้วยเศียรเกล้า ทั้งเนื้อทั้งตัวมอบถวายแด่พระรัตนตรัย
นางจูฬสุภัททรากล่าวจบก็ตั้งจิตอธิษฐานและนิมนต์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญหม่อมฉันขอนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระสาวกมาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ ขอพระพุทธองค์ทรงรับทราบด้วยเทอญ
จากนั้นนางก็ใช้มือหยิบดอกมะลิขึ้นมา ด้วยจิตที่เป็นกุศล อานุภาพแห่งนางที่เป็นพระโสดาบัน ความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพุทธานุภาพจึงทำให้เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้น ดอกมะลิเลื่อนลอยไปในอากาศจำนวนทั้งสิ้น ๘ กำ ดอกมะลิลอยไปที่วัดพระเชตวันไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปประดิษฐานเป็นเพดานดอกไม้อยู่เบื้องบน ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมให้แก่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกับบริวารฟังอยู่
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกราบนิมนต์พระพุทธองค์เพื่อถวายภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ท่านเศรษฐี ตถาคตรับนิมนต์นางจูฬสุภัททาในวันพรุ่งนี้แล้ว”
“พระองค์ผู้เจริญ จูฬสุภัททาลูกของหม่อมฉันอยู่ไกลจากที่นี่ถึง ๑๒๐ โยชน์ ไม่ใช่หรือพระเจ้าข้า”
“ใช่แล้ว ท่านเศรษฐี สัตบุรุษทั้งหลาย แม้จะอยู่ไกลแสนไกลเพียงใด ก็ปรากฏดุจอยู่ต่อหน้าพระตถาคต”
สัตบุรุษทั้งหลาย แม้อยู่ในที่ไกล ดุจภูเขาสูงใหญ่ย่อมปรากฏให้เห็นเด่น อยู่ไกลก็เหมือนอยู่ใกล้ ส่วนอสัตบุรุษย่อมไม่ปรากฏดุจลูกศรที่นักธนูยิงไปในเวลากลางคืน คือ ไม่ปรากฏเลย ฟุ้บหายไปไหนก็ไม่รู้ อยู่ใกล้เหมือนอยู่ไกล
สัตบุรุษ คือ บุคคลผู้ที่สั่งสมบุญบารมีไว้ดีแล้ว ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก่อน ๆ คือ ผู้ที่สั่งสมบุญมาดี แม้อยู่ไกลแสนไกลเพียงใดย่อมปรากฏในญาณทัศนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนอยู่ใกล้ ๆ
ส่วนอสัตบุรุษ คือ พวกคนพาล ที่มองเพียงปัจจุบัน ไม่คำนึงถึงโลกหน้า เป็นผู้เห็นแก่ได้ เห็นแก่ผลประโยชน์ หรือเห็นแก่อามิส แม้จะนั่งอยู่ใกล้พระพุทธองค์ก็ไม่มีใครสนใจ คือ เห็นเหมือนมองไม่เห็น ขนาดอยู่ใกล้ ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม