เรื่องที่ ๔๐๐จิวเวอรี่มีปาฏิหาริย์
“เฮ้ย ปาฏิหารย์เกิดขึ้นแล้ว” และถามต่อว่า “พี่ๆ มีอะไรดีหรือ พี่ขายให้เขาได้นี่เฮงจริงๆ”
คุณโจ้ทดแทนพระคุณแม่ ด้วยการพาท่านมาประพฤติธรรม |
คุณโจ้ (สันติกัน นงพรหมมา) พื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยร่วมกิจกรรม ชมรมพุทธศาสตร์ ตอนนั้นคุณโจ้ได้อ่านหนังสือกัลยาณมิตรฉบับแรกของวัดพระธรรมกาย รูปหน้าปกเป็นภาพพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย พอเห็นรูปภาพท่าน จึงเกิดความศรัทธาคิดอยากบวชที่วัดนี้ขึ้นมาทันที จึงได้อบรมธรรมทายาทบรรพชาอุปสมบทหมู่รุ่นที่ ๑๔ ปี พ.ศ.๒๕๒๙ หลังจากผ่านการอบรมธรรมทายาทเป็นเวลา ๒ เดือน ก็ยังคงปฏิบัติธรรมตามที่ได้รับการถ่ายทอดมา และมีสิ่งหนึ่งที่ได้ข้อคิดจากพระอาจารย์ว่า แม่เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้มีพระคุณอย่างล้นเหลือ ก่อกำเนิดกายเนื้อให้แก่เรา ถ้าท่านไม่ดูแลอุ้มชูเรามา คงไม่มีวันนี้เกิดขึ้นในชีวิต ชีวิตของการทำความดี การสร้างบารมี และประพฤติธรรม คุณโจ้จึงเป็นกัลยาณมิตรให้คุณแม่ชักชวนคุณแม่มาประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นประจำ
คุณแม่ของคุณโจ้ (คุณสุดใจ เกษกาญจนานุช) ประกอบกิจการค้าขายจิวเวอรี่ แบบการขายตรงกับลูกค้าประจำ ช่วงระยะที่ผ่านมา คุณแม่ประสบปัญหายุคไอเอ็มเอฟ ทำให้การค้าสะดุดลง คุณแม่บ่นว่าเช็คไม่ผ่านบ้าง ค้าขายไม่คล่อง ลูกค้าเริ่มลดน้อยลงไป ทำให้คุณโจ้ซึ่งปกติเคยมีเวลามาทำบุญที่วัดพระธรรมกาย ต้องเสียสละเวลาเพื่อช่วยคุณแม่ทำธุรกิจด้วย แต่ใจก็ยังนึกถึงวัดตลอดเวลา
ประมาณเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ ทั้งคู่ได้มาวัด และได้ร่วมทำบุญสร้างองค์พระแกนกลาง บูชาธรรมหลวงพ่อสด พระมงคลเทพมุนีในวันนั้นพอดี
ต่อมาอีกหนึ่งสัปดาห์ คุณโจ้ได้มาพร้อมกับคุณแม่และรับพระของขวัญในวันอัศจรรย์ตะวันแก้ว พอได้รับองค์พระมหาสิริราชธาตุมา รู้สึกรักและบูชาท่านมาก ได้หมั่นสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุทุกวัน และทั้งสองท่านก็ได้ประสบอานุภาพบุญ ช่วยให้ธุรกิจค้าขายดีขึ้น และรอดพ้นจากอุบัติเหตุได้อย่างปาฏิหาริย์
วันหนึ่งทั้งสองคนแม่ลูก ได้เดินทางไปจังหวัดชลบุรี เพื่อไปพบลูกค้าเดิมที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณแม่คุ้นเคยกับผู้บริหารที่นั่น พอไปถึงคุณแม่ก็ยิ้มแย้มทักทายกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร พร้อมกับพูดว่า “มีของสวยๆ งามๆ ชิ้นใหม่ มาให้ดูค่ะ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่า “โอ้ย ช่วงนี้เศรษฐกิจแย่ ไม่มีเงินหรอกคุณ” คุณแม่จึงพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ มาดูของสวยๆ งามๆ ให้เกิดกำลังใจในการทำงานต่อไป” ทุกคนจึงเดินมาดู ขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งหยิบตุ้มหูกับแหวนมาดู และสอบถามราคา คุณแม่บอกราคา ๕๘,๐๐๐ บาท เขาจึงต่อราคาเหลือห้าหมื่นถ้วน คุณแม่บอกให้ได้เต็มที่ ๕๕,๐๐๐ บาท พอได้รับคำตอบแล้วเธอก็เดินออกไป
เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งบอกคุณแม่ว่า “พี่ๆ ถ้าพี่ขายให้คนนี้ได้ ถือว่าพี่เฮงสุดๆ เลยนะ เพราะลูกค้ารายนี้ไม่ธรรมดา เป็นคนที่รู้จักใช้เงิน ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่ชอบแต่งตัว และเที่ยวเตร่” คุณแม่เริ่มกังวลใจ เพราะเป็นรายแรกของเช้าวันนี้เสียด้วยซิ ตามธรรมเนียมคนขายของ ถ้ารายแรกไม่ซื้อ วันนั้นทั้งวันอย่าหวังว่าจะขายได้
คุณแม่จึงตั้งสติ ตรึกระลึกนึกถึงพระมหาสิริราชธาตุที่คล้องคออยู่ และอธิษฐานในใจว่า “ด้วยอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุ จงดลบันดาลให้ลูกขายของได้ ขอให้ซื้อง่ายขายคล่อง กำไรงาม” พอจบคำอธิษฐาน เจ้าหน้าที่คนนั้นก็เดินมาหยุดยืนที่โต๊ะคุณแม่นั่ง ทุกคนก็ลุ้นระทึกกันว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไร
คุณสุดใจ เกษกาญจนานุช
ขายจิวเวอรี่ได้ง่ายราวกับปาฏิหาริย์ |
ปรากฏว่าเขามาต่อราคาอย่างเดิม คุณแม่ก็ยังยืนยันราคาเดิมคือ ๕๕,๐๐๐ บาท พอจบคำพูดเธอก็ยื่นเงินให้พร้อมกับบอกว่า “หนูเบิกเงินมา ๕๕,๐๐๐ บาทพอดี” เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่นั้นมองดูด้วยความฉงนสนเท่ห์ที่คุณแม่ขายได้ พร้อมกับพูดว่า “เฮ้ย ปาฏิหารย์เกิดขึ้นแล้ว” และถามต่อว่า “พี่ๆ มีอะไรดีหรือ พี่ขายให้เขาได้นี่เฮงจริงๆ” คุณแม่ตอบด้วยความภูมิใจพร้อมกับให้ดูองค์พระมหาสิริราชธาตุ ทุกคนชื่นชมพร้อมกับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พระอะไร สวยจังเลย ได้มาอย่างไร”
สักพักก็มีอาม่าเดินเข้ามาภายในธนาคาร อาม่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของธนาคาร พอเดินเข้ามาก็แปลกใจว่าเขามุงดูอะไรกันอยู่ จึงเดินเข้ามาใกล้ และถามว่า “ขายอะไรกันน่ะ” เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งตอบว่า “ขายเพชรพลอยค่ะ”
อาม่าเดินมาหยิบดูพระทองคำ และถามราคา คุณแม่บอก ๒๒,๐๐๐ บาท อาม่าจึงต่อราคาตามประสาความเคยชิน “๑๘,๐๐๐ บาท ได้ไหม?” คุณแม่ปฏิเสธว่าไม่ได้ ทันใดนั้น อาม่าก็โพล่งออกมาว่า “ของปลอมหรือเปล่า” เท่านั้นแหละทุกคนก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก พูดเสร็จแกก็เดินออกไป แต่เป็นจังหวะดีที่ผู้ช่วยผู้จัดการ รีบเข้าไปทักทายพร้อมกับรับประกันว่าคุณแม่ค้าขายติดต่อกับที่นี่มาเป็นเวลานาน รับรองได้
อาม่าเดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง คราวนี้คุณโจ้เองก็ใจไม่ดี กลัวว่า อาม่าจะพูดอะไรออกมาอีกทำให้เสียบรรยากาศการซื้อขาย คุณโจ้เริ่มสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุในใจ และอธิษฐานว่า “ขออาม่าอย่าพูดอะไรที่ไม่เบิกบานเลย”
อาม่าเดินมาหยุดตรงหน้าคุณแม่ พร้อมกับพูดว่า “๑๙,๐๐๐ ไม่ได้หรือ” คุณแม่จึงยอมลดราคาเหลือ ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นราคาพิเศษสำหรับอาม่า อยากให้ไว้บูชา อาม่าก็บอกว่า “ลื้อมีบาทหนึ่งไหม” คุณแม่หยิบเหรียญบาทออกมา “อั้วซื้อ ๑๙,๙๙๙ บาท เพราะอั้วชอบเลข ๙” และยังพูดทิ้งท้ายอีกด้วยว่า “ลื้อมาขายที่นี่บ่อยไหม ถ้ามาบ่อยไปขายที่บ้านอั้วหน่อยซิ”
บรรยากาศเริ่มกลับมาคึกคักเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่พากันหยิบชมนั่นชมนี่ตลอดเวลา คุณโจ้ดีใจมาก นึกถึงองค์พระมหาสิริราชธาตุ และคำอธิษฐานที่ได้ช่วยเขาทันท่วงที รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของท่านเหลือเกิน
วันนั้นทุกคนซื้อจิวเวอรี่ของคุณแม่ด้วยความเบิกบาน นับเงินได้เป็นจำนวนเงินถึง ๓ แสนกว่าบาท ทั้งคู่พูดขึ้นมาตรงกันว่า นี่คืออานุภาพบุญที่เกิดขึ้น เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะทั้งคู่ต่างก็ระลึกถึงพระมหาสิริราชธาตุในเวลาใกล้เคียงกัน กลับบ้านด้วยความเบิกบาน และไม่ลืมที่จะเปิดเทปสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุในรถตลอดการเดินทาง
คุณโจ้ทราบภายหลังว่า ที่ธนาคารแห่งนั้น มีผู้นำบุญของวัดทำงานอยู่ด้วย เคยบอกบุญสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัว และกล่าวถึงอานุภาพบุญของพระของขวัญชิ้นนี้ แต่ตอนนั้นทุกคนฟังแล้วก็ยังเฉยๆ หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พวกเขาเกิดความศรัทธาพากันไปทำบุญองค์พระธรรมกายประจำตัวกันแทบทุกคนเลย
อีกเรื่องคือเรื่องอุบัติเหตุ เกิดขึ้นประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๒ วันนั้นคุณแม่ตั้งใจจะไปขายสินค้าที่จังหวัดปราจีนบุรี คิดว่าจะไปนอนบ้านญาติเพราะจะได้ไม่เหนื่อย จึงให้พี่ชายขับรถไปส่งตอนเที่ยงคืน แต่ตอนนั้น พี่ชายไม่อยากไป คุณโจ้จึงอาสาขับรถไปส่งเอง ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะไปวัดพระธรรมกายในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นงานบุญใหญ่ทอดผ้าป่าสามัคคีให้กับวัดทั่วประเทศ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ
เส้นทางที่เกิดเหตุ แต่รอดมาได้ด้วยอานุภาพบุญ
|
คืนนั้นพอขับมาถึงเส้นทางระหว่างบางขนาก อำเภอบางน้ำเปรี้ยวกับอำเภอบ้านสร้าง ซึ่งเป็นเส้นทางที่เปลี่ยวมาก ไม่มีแสงไฟฟ้าริมทางเลย มองไปรอบข้างมืดสนิท ถนนโล่งไม่มีรถสวนมาเลย คุณโจ้ขับรถอย่างระมัดระวัง ประมาณ ๖๐-๘๐ กม./ชม. เพราะสายตาไม่คุ้นเคยกับความมืด ถึงสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง ตอนนั้นใช้ไฟต่ำ ขับลงมาจากสะพาน เป็นทางลาดลง พลันก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ในระยะกระชั้นชิด พยายามสอดส่ายสายตามอง แต่ก็มองไม่เห็นทั้งคนและรถ จึงเปิดไฟสูงทันที และต้องสะดุ้งตกใจสุดตัว เมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์อยู่ตรงหน้าพอดิบพอดี คนขับใส่เสื้อสีเข้ม คล้ายเสื้อม่อฮ่อม ไม่มีไฟหน้าและไฟท้ายเลย จึงรีบหักพวงมาลัยขวาโดยสัญชาตญาณ ทั้งที่รู้ว่าชนแน่นอน คุณแม่กรีดร้องเสียงหลงด้วยความตกใจสุดขีด ฉับพลันไฟหน้ารถก็ดับพรึ่บขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ มีแต่ความมืดครอบคลุมไปทั่วบริเวณ พร้อมกับเสียงมอเตอร์ไซค์ที่ดังอยู่ข้างหน้า
พอเปิดไฟหน้ารถได้ ก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อมองดูจากกระจกหลังเห็นเงาตะคุ่มๆ ของมอเตอร์ไซค์ยังคงขับไปเรื่อยๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นี่เราทะลุผ่านรถมอเตอร์ไซด์คันนั้นใช่ไหม?” คุณโจ้ถามตัวเองทั้งๆ ที่ยังไม่หายตกใจ ส่วนคุณแม่พอตั้งสติได้ ก็พูดว่า “เรารอดมาได้อย่างไร เพราะรถมอเตอร์ไซค์อยู่ชนิดที่ว่าติดหน้ารถ ถึงหักรถหลบอย่างไรก็ไม่พ้น” ทั้งคู่จึงรู้ว่านี่แหละคืออานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ ที่เขาเล่ากันมาอย่างมากว่า ทะลุมิติ ๆ ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะได้เจอกับตัวเอง
อีก ๒-๓ วันต่อมา คุณโจ้ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเจอพาดหัวข้อข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า เส้นทางนี้มีคนร้ายดักจี้ปล้นกันตอนกลางคืนด้วย ทำให้เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับระลึกถึงคุณพระมหาสิริราชธาตุ และนึกถึงบุญที่ตนเอง และคุณแม่ สั่งสมไว้ จึงช่วยได้ทันท่วงที บุญกุศลที่ตั้งใจทำไว้ ส่งผลในชาติปัจจุบันทันตาเห็นเป็นเช่นนี้เอง
จุดที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่ากลางคันราวกับทะลุมิติ
|
ปัจจุบันนี้คุณโจ้และคุณแม่เปิดบ้านกัลยาณมิตร ได้ปฏิบัติธรรม สวดมนต์บูชาคุณพระรัตนตรัย รวมทั้งสวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุเป็นประจำทุกวันมิได้ขาด เวลาออกไปประกอบธุรกิจติดต่อกับลูกค้าก็จะถือโอกาสนี้บอกบุญไปด้วย เป็นการสร้างบุญและทำการค้าไปด้วย ควบคู่กันทั้งสองอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม
คุณโจ้ เล่าว่า พอเห็นหลวงพ่อธัมมชโยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๙ ก็มีศรัทธาบวชเป็นธรรมทายาทรุ่นที่ ๑๔ ทันที และเมื่ออบรมเสร็จก็ได้ชวนคุณแม่มาวัดอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเข้าแล้วมีศรัทธาทำบุญต่างๆ และได้สร้างพระแกนกลาง หมั่นสวดสรรเสริญ อธิษฐานจิตอยู่เป็นประจำ ทำให้พบเหตุการณ์บุญช่วยค้าขายได้เป็นอัศจรรย์ตามที่เล่า
ส่วนเรื่องการเดินทางไปปราจีนบุรี พบว่ารถมอเตอร์ไซค์์อยู่ตรงหน้ารถของตนเอง ทำอย่างไรไม่มีทางหลีกเลี่ยง ต้องชนอย่างแน่นอนเมื่อนึกถึงคุณของพระศรีรัตนตรัย คุณพระมหาสิริราชธาตุขอให้ช่วยเหลือ ไฟรถเกิดดับวูบลง เมื่อไฟติดอีกครั้งมอเตอร์ไซร์คันนั้นไปวิ่งอยู่ข้างหลัง อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ลักษณะเหมือนรายอื่นๆ ที่เล่าเรื่องทะลุมิติ ไม่ผิดเพี้ยน
เรื่องทะลุมิตินี้ ไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้เลย และสำหรับผู้ฟังคำบอกเล่ามักเชื่อไม่สนิทใจทุกครั้ง ดูเหลือเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้ แต่สำหรับผู้ที่ประสบเหตุด้วยตนเองแล้ว ไม่มีรายใดกล้าสงสัย แม้แต่รายเดียว เพราะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่เกิดอยู่เฉพาะหน้าของเขาจริง ๆ เขาจึงจำต้องเชื่ออย่างสนิทใจสถานเดียว
ในโลกนี้มีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์สำหรับคนธรรมดามากมายหลายเรื่อง แต่สำหรับผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมบรรลุผลแล้วเหมือนอย่างบัญฑิตในกาลก่อน จะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่เป็นความลับเหลืออยู่เลย