..มาจนถึงช่วงที่ถูกโจมตีเรื่องชาวนา ทำให้รู้สึกว่าวัดไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงไปบอกสามี ซึ่งขณะนั้นสามีเป็นนายอำเภอสามโคก จ.ปทุมธานี สามีจึงพูดว่า เราไม่ได้เป็นนายอำเภอคลองหลวง จะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไร จึงได้แต่อธิษฐานขอให้สามีย้ายมาเป็นนายอำเภอคลองหลวงให้ได้ ซึ่งต่อมาก็สำเร็จจริงๆ ค่ะ อัศจรรย์ใจมาก เพราะมีคำสั่งให้ย้ายสามีจากตำแหน่งนายอำเภอสามโคก มาเป็นนายอำเภอคลองหลวง พอสามีย้ายมาก็บุกเข้ามาตรวจวัดเองเลย ว่ามีอาวุธสงครามใต้โบสถ์มีการซ่องสุมกำลัง มีโน่นมีนี่อย่างที่เขาลงข่าวกันโครมๆ จริงรึเปล่า แต่พอมาสำรวจทุกซอกทุกมุมแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ..ใต้โบสถ์มีแต่กระเบื้องปูพื้นที่เก็บไว้ซ่อมพื้น
จากนั้นก็มาขอดูเรื่องกฎหมายการเช่า พบว่าวัดก็ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่านาทราบว่า จะเลิกสัญญาเช่า ซึ่งวัดก็ต้องรอถึง ๗ ปี พอสืบไปก็รู้ว่าชาวบ้านได้ถูกจ้างวาน และถูกยุแยงให้เข้ามาทำลายข้าวของวัด ทุบพระ เผาวัด ก่อเรื่องครึกโครม แต่วัดกลับถูกกล่าวหาว่ารังแกชาวบ้าน ซึ่งสามีเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมเอาเลย เพราะสามีและเราเองก็เห็นกับตาเลยว่า พวกชาวบ้านที่ถูกยุยงพวกนั้น แห่กันมารื้อถอนสระบัวในวัด มาจับปลาปิ้ง กินแก้มเหล้าในวัดด่าพระ โดยที่พระท่านก็ไม่ได้ทำอะไร สามีจึงได้ไปแจ้งนักข่าวให้มาดูให้เห็นกับตา จนหนังสือพิมพ์โวยว่า ทำไมคุณเป็นนายอำเภอ ทำไมนายอำเภอไม่จับคนพวกนี้ มีเรื่องทำนองนี้วุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ซึ่งในฐานะที่สามีเรา เป็นผู้ดูแลท้องที่ดำเนินการ ด้านความเรียบร้อยโดยตรง เลยรู้หมดทุกอย่างว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งเล่าก็..ยิ่งสงสารวัด ที่โดนเข้าใจผิด และโดนลงข่าวจนเสียหายได้ถึงขนาดนี้...
ตอนนั้นเราก็มาวัดทุกวัน เพราะย้ายมาทำงานที่สำนักงานประถมศึกษาคลองหลวง จึงได้เข้ามาช่วยทำงานวัดทุกอย่าง มาทุกวันเลย อะไรเป็นบุญทำหมด ผลักดันให้ข้าราชการครู ผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์ใหญ่ จัดให้เขามาอบรมกันที่วัด เราทำหน้าที่เหมือนเจ้าของวัด มาจัดดอกไม้ เย็บผ้าขี้ริ้วเป็นพันๆ ผืน จัดอัลบั้มให้เจ้าภาพเองกับมือ เรียกได้ว่าทำทุกอย่าง จนหลายคนนึกว่าเราเป็น เจ้าหน้าที่วัดจริงๆ ไปแล้ว หลังจากนั้นสามีมีตำแหน่งหน้าที่การงาน ที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ตามคำอวยพรของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จนได้มาเป็นผู้ว่าฯจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเราก็ต้องย้ายตามมาช่วยสามี แต่ก็ไม่เคยทิ้งวัด อีกทั้งพอย้ายไป ก็กลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก ในการฟื้นฟูวัดสาขาของวัดพระธรรมกาย คือวัดเมืองคง จัดให้มีกฐินผ้าป่า บูรณะวัด ทั้งอาคาร สถานที่ เปิดโรงเรียนปริยัติ จัดให้มีการบวชสามเณรเป็นปีแรกถึง ๒๐๐ รูป จัดบิณฑบาต ชวนชาวบ้านให้เข้าวัดกันยกใหญ่
พอเราย้ายมาอยู่ที่ศรีสะเกษ ได้สักระยะ เราเจอศึกหนักมาก คือพายุดีเปรสชั่น เกมี่เข้า ฝนตกติดต่อกัน ๔ วัน ๔ คืน ถล่มทั้งจังหวัดจนน้ำท่วมหนักพื้นที่ทั้ง ๙๐% ถูกท่วมหมด วัวควาย หมู เป็ด ต้องช่วยกันขนย้ายกันเจ้าละหวั่นทั้งวัน..ทั้งคืน ตอนนั้นต้องใช้จวนผู้ว่าฯ เป็นกองบัญชาการทุกอย่าง และเราก็ได้มาเป็นแม่งานหลัก ในการช่วยเหลือชาวบ้านในครั้งนี้
ผลของการทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ทำงานควบคู่ไป กับผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวงมหาดไทย เราทำจนผลงาน เราออกมาเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่ยอมรับว่าเราทำด้วยใจ ซึ่งก็ขอยืนยันเลยว่า ที่ออกมาดีอย่างนี้ ก็เพราะเราได้รับคำสอนมาจาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสอง ที่สอน และที่สำคัญท่านย้ำให้เราฝึกสมาธิ อย่างต่อเนื่องอย่าให้ขาด ทำงานด้วยจิตเมตตารักเพื่อนมนุษย์ ผู้เกิดแก่เจ็บตายร่วมกัน เพราะนั่นคือหน้าที่ของเรา
การฝึกสมาธิมาอย่างต่อเนื่อง มีประโยชน์ต่อตัวเองมากๆ เลยนะคะ ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน เราก็มีความสุข ผลจากสมาธิช่วยให้เราคาดการอะไรออกมาแม่น วางแผนบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลสูงสุด ผลที่ได้รับออกมามักจะเกินควรเกินคาดทุกครั้ง แม้ว่างานของเราจะมากมายเพียงใด เราก็ไม่พลาด จนหลายคนแอบพูดเลยว่า คุณจิตร์ลดานี่เก่งไปทุกเรื่อง จะทำโครงการอะไรออกมา ก็ประสบความสำเร็จหมด ทำอะไรก็ดีไปหมด แต่เสียอย่างเดียว เป็นคนวัดพระธรรมกาย แต่เราก็ภูมิใจกับคำๆ นี้นะคะ เพราะตลอดระยะเวลามากว่า ๒๐ ปีที่เราเข้าวัด เพราะวัดสอนให้เราทำแต่ความดี รักเพื่อนมนุษย์ สร้างสรรค์ จรรโลงสังคมและโลกให้ดีงาม การเข้าวัดปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ควรจะยกย่องสรรเสริญ ไม่ใช่ปกปิด เราควรเปิดเผย เพราะขนาดคนที่เขาไปทำไม่ดี ไปกินเหล้า ไปเที่ยว เขายังเปิดเผยกันเลย ซึ่งหากวัดพระธรรมกายไม่ดีจริง เราก็คงไม่งมงายเข้ามา ๒๐ กว่าปีหรอกค่ะ และเราเองก็เป็นปัญญาชน เราคงไม่ปล่อยให้วัดหลอกเรานานจนถึงป่านนี้ แล้วที่สำคัญ เราเข้าวัดแล้ว ชีวิตเราและสามีดีขึ้น ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเป็นอธิบดีกรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งถือว่าเป็นที่สุดของสายงานข้าราชการประจำ จนกระทั่งได้ปัจจุบันได้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงมหาดไทย ในสายงานทางการเมือง...
จากคำต่อคำ ทำให้เราไม่อาจคลาดจากคำพูดเธอได้แม้แต่สักประโยค เธอเป็นคนบู้ที่สร้างสรรค์ บู้เพื่อสันติภาพก็ว่าได้ ซึ่งเราก็ขอถามเธอต่อว่า ในฐานะที่เธอได้อุทิศตัวทำงานเพื่อสังคม ควบคู่กับงานพระศาสนาไปด้วย เธอได้วาดฝันอยากจะให้อนาคตของชาติเป็นอย่างไร..??
" จากประสบการณ์การทำงาน ทั้งที่ลงงานเอง และช่วยเหลือสามี และสิ่งที่คิดว่าประเทศไทยยังขาดอยู่ก็คือ อยากจะเห็นเมืองไทยเป็นเมืองที่ปลอดอบายมุขทุกชนิด เพราะหากเราทำสิ่งนี้ได้ ประเทศไทยเราจะถูกพัฒนา อย่างก้าวกระโดดขึ้นมาทันที คนมีศีลธรรม บ้านเมืองก็อยู่อย่างเป็นสุข เพราะทุกวันนี้นอกจากสภาพเศรษฐกิจ ที่ย่ำแย่ทำให้แต่ละคนต้องทำมาหากินกัน จนไม่มีเวลาดูลูก ทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างมากมาย พอส่งลูกไปโรงเรียนก็ต้องคอยนั่งเป็นกังวลว่า ลูกเราจะไปคบเพื่อนไม่ดีรึเปล่า จะติดยาอี ยาบ้ารึเปล่า จะเข้าสู่ค่านิยมใหม่ คือมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนรึเปล่า ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่ากลัวมากในขณะนี้ ซึ่งก็เชื่อว่า หลายๆ คนก็คงไม่อยากให้ลูกของเรา ญาติของเรา และบ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ใช่ไหมคะ??
ภายใต้ความสำเร็จของเธอผู้นี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอใช้หลักธรรม และการฝึกสมาธิ ที่ทำมาตลอดอย่างต่อเนื่องทั้งชีวิต นำไปพัฒนาชีวิตการทำงาน และการทำหน้าที่เพื่อปวงชน แล้วเธอก็พบกับความรุ่งเรืองของชีวิต ที่เจริญต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง...