บวชพลิกชีวิต
“ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้” ถ้อยคำคลาสสิกนี้ทุกคนคงเคยได้ยิน คนบางคนอาจเคยใช้เพื่อกระตุ้นเตือนตัวเองและเป็นกำลังใจในยามที่ท้อแท้ให้ลุกขึ้นสู้กับชีวิต ..บางคนเพื่อแลกกับอนาคตที่สวยหรูจึงสู้สุดพลัง จนลืมคิดถึงเรื่องวิธีการที่ใช้ว่าถูกหรือผิดศีลธรรม ผลลัพธ์ที่ได้อาจสมใจแต่ไม่ดีงามสักเท่าไร
..บางคนสู้แต่ล้มเหลว เลยเลือกใช้ชีวิตแบบผิด ๆ แบบคนสิ้นคิด ทำให้เสียผู้เสียคน หนักเข้าไปใหญ่ นั่นอาจเป็นเพราะความไม่รู้ในเรื่องความจริงของชีวิตที่ว่า บุญบาปนั้นมีจริงและบุญเท่านั้นที่อยู่เบื้องหลังความสุขความสำเร็จของชีวิตทั้งปวง
และเป็นเพราะความไม่รู้นี่เอง จึงทำให้ใครหลาย ๆ คน ต้องใช้ชีวิตแบบผิดครรลองคลองธรรม นำชีวิตที่ตัวเองไม่ได้เลือก เพราะ ถูกกำหนดเพราะด้วยกรรมเก่าในชาติปางก่อน ไปสู่หนทางวิบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนไปเวียนมาแบบ หาทางออกไม่เจอ ถ้าไม่มีกัลยาณมิตรเป็นผู้ชี้ ทางสวรรค์ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรชีวิตจะพลิกจากร้าย เป็นดี และเริ่มต้นนับหนึ่งกระทำแต่ความดี สร้างบารมีเรื่อยไป จนไปสู่ที่สุดแห่งธรรมกับเขาเสียที ดังเช่น อุบาสิกาแก้ว ๒ ท่าน ที่ชีวิตพลิกผันหลังจากได้สั่งสมบุญด้วยการบวชเป็นอุบาสิกาแก้ว หน่ออ่อน ท่านแรก เธอ...เผชิญหน้าอยู่กับโชคชะตาไม่เว้นแต่ละวัน วนอยู่กับความจน สามีตาย สังขารไม่เอาด้วย แถมครอบครัวยังชิดติดขุม ๕ แต่การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว กลับเป็นจุดเริ่มต้นให้ชีวิตเธอตั้งต้นดีอีกครั้ง เมื่อเธอเดินเข้าหาบุญ ความทุกข์ที่ถาโถมโหมกระหน่ำแบบไม่เคยเกรงใจ ในที่สุดก็มิอาจทำร้ายเธอได้อีกต่อไปแล้ว
เธอแนะนำตัวให้เราฟังเป็นครั้งแรก หลังจากได้ไปวัดพระธรรมกายเพื่อบวชหน่ออ่อน “เมื่อก่อนเป็นคนมีฐานะ ฐานะ จอ โอะ นอ จน ยากจนมาก ๆ ต้องตรากตรำทำงานหนักมาอย่างโชกโชน อดหลับอดนอน รับจ้างกรีดยางตั้งแต่ ๕ ทุ่ม ถึง ตี ๕ และออกไปเก็บน้ำยาง ๗ โมงเช้า ถึง ๑๐ โมงเช้าทุกวัน บางวันมีเวลานอนแค่วันละ ๓ ชั่วโมงเท่านั้น ต้องเผชิญกับความไม่มีมาโดยตลอด กู้หนี้ยืมสินเขาไปทั่ว สามีก็ตายแล้ว หนำซ้ำยังต้องเลี้ยงดูลูกเพียงลำพังถึง ๒ คน แถมคนโตก็เรียนในคณะที่ใช้เงินเยอะ คือส่งให้เรียนหมอที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ส่วนลูกชายคนเล็กกำลังเรียนอยู่ชั้น ม. ๔ กำลังใช้เงินทั้งนั้น ซ้ำร้ายยังไม่มีบ้านของตัวเอง ต้องไปพักอยู่ในที่ ที่เจ้าของสวนยางเขาจัดให้ คือ ห้องขนาด ๔x๕ เมตร มีฝาทึบทั้ง ๓ ด้าน มีทางออกทางเดียว นอกจากความทุกข์ที่ถาโถมโหมกระหน่ำมาแบบไม่เกรงใจกันเลย ตั้งแต่เรื่องรายได้ ที่พัก เรื่องสุขภาพ เรายังทุกข์ใจเรื่องพ่อแม่และน้องสาวด้วยเพราะทุกคนล้วนเป็นว่าที่สมาชิกมหานรกขุม ๕ เพราะดื่มกันอย่างหนักหนาสาหัส ความทุกข์ รอบด้านมันรุมเร้า จนเราเกิดความรู้สึกอยากออกบวช จนวันหนึ่งได้เดินไปคุยกับคนขายของ ในวัดหัวถนนว่า ‘ที่นี่มีบวชแม่ชีมั้ย’ คนขายของ ก็ตอบว่า ‘มีสิ..นี่ไง..โครงการบวชอุบาสิกาแก้ว รุ่น ๑ แสนคน’ ตอนนั้น รู้สึกว่าตัวเองประดุจเป็นนักบินอวกาศเลยค่ะ คือ ดีใจจนตัวจะลอย แล้วก็ได้ไปบวช อีกทั้งในวันที่ไปรับสไบแก้ว ก็ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า พวกลูก ๆ อุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนทุกคนก็คือ ‘นักรบหญิงแห่งกองทัพธรรม ให้มาช่วยกันฟื้นฟูและปกป้องพระพุทธศาสนา’ จิตใจตอนนั้น มันสปาร์กอย่างแรงค่ะ เกิดฮึกเหิม ห้าวหาญ ราวกับได้ยินเสียงกลองรบ และก็อยากจะเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบารมีอย่าง สุดชีวิต สุดกำลัง หลังจากบวชเสร็จ เราก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะ คือ ลุยชวนคนบวชทุกโครงการ ที่ผ่านมาอย่างจริงจัง และได้ออกอุบายชวนว่าที่ ขุม ๕ ทุกคนที่เป็นญาติไปบวช ตั้งแต่พ่อ โดยบอกพ่อว่า เพื่อนของพ่อสมัครบวชกันเยอะ ไปหาเพื่อนพ่อที่วัดกันนะ แต่ระหว่างที่พาพ่อไป ก็พูดว่า ‘พ่อ...ลูกไหว้พระมาเยอะ ลูกอยากกราบพระที่เป็นพ่อของลูกเอง พ่อบวชพระให้ลูกนะ’ พ่อก็ทำหน้างงตอบกลับมาว่า ‘เดี๋ยว ๆ พ่อขอคิดก่อน’ เราก็ตอบว่า ‘พ่อไม่ต้องคิดแล้ว พ่อคิดมานาน ๖๐ กว่าปีแล้ว เอาจริงไปเลย’ จากนั้นก็ทำเนียนบอกให้พ่อไปอาบน้ำเปลี่ยนขุดขาว แล้วก็รีบจัดแจงไปสมัครบวชให้พ่อเสร็จสรรพ พ่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย ยอมบวชไปแบบงง ๆ แต่พอท่านบวชแล้วก็ไม่งงค่ะ เกิดติดใจจนป่านนี้ยังไม่สึกเลย ส่วนแม่และน้องสาวก็ชวนบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ทุกวันนี้เลิกเหล้ากันหมดแล้วค่ะ
“นับจากนั้น..ชีวิตก็พลิกผัน คือ เจ้าของสวนยางเกิดอยากขยายพื้นที่ทำงาน จึงต้องทุบที่พักเก่าของเราทิ้ง และสร้างที่อยู่ใหม่ให้ ซึ่งมีขนาดกว้างกว่าเดิม และเมื่อย้ายไปที่ใหม่ ก็ไม่มีเสียงดังจากเครื่องจักรและกลิ่นยางพาราเลย และในที่สุดก็หายจากการเป็นโรคภูมิแพ้ ที่เป็นมาตลอด ๑๐ กว่าปี ตั้งแต่ไปบวชกลับมาและมาทำหน้าที่ชวนคนบวชอย่างเต็มที่ อยู่ ๆ ราคายางก็ถีบตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รายได้จากการกรีดยางเพิ่มเป็น ๓ เท่าตัวอย่างอัศจรรย์ และตอนนี้เมื่อได้ทราบว่า ทางวัดให้โอกาสคนใหม่สร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวได้ ก็ดีใจสุดขีดเลยค่ะ จึงรีบเอาเงินเท่าที่มีจององค์พระไว้ก่อนค่ะ แล้วก็ได้แต่อธิษฐานขอให้น้ำยางออกเยอะ ๆ เพื่อจะนำปัจจัยไปสร้างองค์พระให้เต็มองค์ ซึ่งก็เหลือเชื่อค่ะ ทั้ง ๆ ที่กรีดยางเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่น้ำยาง ต้นที่เรากรีดออกมากผิดปกติเป็นเท่าตัว จนเกือบปริ่มถ้วยรองน้ำยางอย่างอัศจรรย์ เราขอบารมีของหลวงพ่อให้สามารถมีเงินมาสร้างพระได้ครบสม ดังใจด้วยค่ะ แม้จะมีปัจจัยไม่พร้อม แต่เราก็เห็นคุณค่าของการสร้างพระมาก จึงรีบไปชักชวนเพื่อนบ้านสร้างพระได้ ๕ องค์แล้ว และทำหน้าที่เปิดบ้านกัลยาณมิตรได้ ๖ หลัง ที่สำคัญชวนคนบวชอุบาสิกาแก้วได้มากถึง ๑๓ คนแล้วค่ะ”
ไม่น่าเชื่อเลยว่า การบวชอุบาสิกาเพียงครั้งเดียวจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เธอเฝ้าฝันหา และที่สำคัญเธอไม่ยอมเลือกที่จะมีชีวิตที่ดีคนเดียว แต่ยังมีหัวใจกัลยาณมิตร ชักชวนคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครอบครัว ให้สามารถ ปิดอบาย ไปสวรรค์ สิ่งที่เธอกำลังพบขณะนี้ ทำให้เรารู้ว่า คนเราขาดบุญไม่ได้ เพราะถ้าขาดแคลนบุญ ก็คือการขาดแคลนความสุข และความสำเร็จของชีวิตดังที่เธอเคยผ่านมา
เช่นเดียวกับกำนันหญิง หัวใจเพชร อย่างกัลฯ อรทัย พินิจมนตรี กำนันหญิง ๒ สมัย แห่งตำบลกุงเก่า อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ ด้วยวัย ๔๐ ปี เธอยังคงทำหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ของลูกบ้านทั้ง ๑๑ หมู่บ้านอย่างเข้มแข็ง
เธอเล่าว่า “ด้วยความเป็นหญิงเก่ง บวกกับความเป็นลูกคนโต พอปี พ.ศ. ๒๕๕๔ หลังจากพ่อเสียชีวิต จึงต้องเข้ามารับช่วงธุรกิจซื้อขายอ้อยต่อจากพ่อ โดยจะไปประมูลอ้อยจากเกษตรกรตามไร่ต่าง ๆ แล้วเอามาขายต่ออีกทอดหนึ่ง ถ้าราคาดีก็จะได้กำไรงาม แต่ส่วนใหญ่จะประสบแต่ภาวะขาดทุน คือซื้อมาแพง แต่ขายไม่ได้ราคา พอเป็นอย่างนี้บ่อยเข้า ก็เริ่มเป็นหนี้ มีแต่หนี้พอกพูนเพิ่มขึ้นทุกปี ทุกคนในบ้านก็เครียด ดิฉันก็เครียดมาก เพราะตัวแดง ๆ ที่ติดอยู่กับหลาย ๆ ธนาคาร รวมกันแล้วเป็นเลข ๗ หลัก ทุกอย่าง บีบคั้น ชีวิตมันมืดมน จนแว้บหนึ่ง...เคยคิดสั้น อยากจะฆ่าตัวตาย
แต่แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไป เพราะในชุมชนเริ่มมีการจัดบวชตามโครงการต่าง ๆ ของวัด พระธรรมกาย ตั้งแต่บวชพระ ๑ แสนรูปทั่วไทยบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ๑ แสนคน ทีแรกก็ไม่คิดอะไร เพียงแต่รับรู้และช่วยให้ทีมงานทำหน้าที่ได้สะดวกขึ้นเท่านั้น จนมาถึงโครงการบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ๑ ล้านคน ผู้นำบุญก็มาชวนบวช เขาพูดไม่กี่คำ ดิฉันก็เขียนใบสมัครทันที แต่เขียนไปแบบเบลอ ๆ งง ๆ ไม่รู้คิดยังไง รู้แต่ว่า ถ้าดิฉันไม่เขียนใบสมัคร ลูกบ้านที่อยู่ตรงนั้นอีก ๑๐ กว่าคน ก็จะไม่เขียน ด้วยความเป็นกำนันและเป็นผู้นำชุมชน เราจึงต้องนำทุกคนทำความดี พอเขียนใบสมัครปั๊บ ลูกบ้านที่อยู่ตรงนั้น ก็เขียนใบสมัครตามทุกคนเลยค่ะ
พอมาบวชแล้วปลื้มใจมาก ดีใจที่ได้บวช เวลานั่งสมาธิจะรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว จิตใจมันปลอดโปร่ง โล่งเบา ไม่มีความกังวลใจ มีความสุขมาก เพิ่งรู้ว่าการบวชนี้ดีจริง ๆ พอจบโครงการแล้วก็ลุยเปิดบ้านกัลยาณมิตรในทันที โดยทุกวันตอนเย็นจะชวนลูกบ้านให้มาสวดมนต์ นั่งสมาธิที่บ้านของเรา และเปิดช่อง DMC ให้ลูกบ้านดู ทำให้ทุกคนตื่นตัวสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้น ซึ่งตอนนี้มีบ้านกัลยาณมิตรเกิดขึ้นแล้ว กว่า ๒๓ หลังค่ะ แล้วก็จะหมุนเวียนไปสวดมนต์ นั่งสมาธิตามบ้านต่าง ๆ ทุกวัน บางครั้งก็ นำลูกบ้านสวดมนต์ นั่งสมาธิด้วยตนเอง สอน ให้พวกเขาภาวนา ‘สัมมา อะระหัง’ ถ้าวันไหน ตรงกับวันพระ ทุกบ้านก็จะไปสวดมนต์ นั่งสมาธิ ร่วมกันที่ศาลาวัดในหมู่บ้านค่ะ
พลิกชีวิต..ยกหมู่บ้าน
ด้วยการบวชอุบาสิกาแก้ว
หน่ออ่อน
"ตั้งแต่ดิฉันได้บวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน และเปิดบ้านกัลยาณมิตร อะไร ๆ ในชีวิตก็ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จากที่เคยใจร้อนก็กลายเป็น คนใจเย็น ทำอะไรรอบคอบ มีสติมากขึ้น เรื่องการงานการเงินก็ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ จังหวะชีวิต ก็ดีขึ้น จากแต่ก่อนที่มองไม่เห็นช่องทาง เหมือนคนอยู่ในห้องที่ประตูถูกปิดตาย แต่ตอนนี้ประตู ทุกบานถูกเปิดออกเป็นช่องทางรับทรัพย์ มีแต่ สิ่งดี ๆ เข้ามา ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ให้ความช่วยเหลือ ให้ยืมเงินไปทำธุรกิจ ทำให้เราไม่ต้องไปเป็นหนี้ ส่วนธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ ก็เจรจาผ่อนผันง่าย จนเหลือเชื่อ อ้อยที่ไปประมูลมาก็ขายได้กำไรอย่างเดียว ไม่ขาดทุนเหมือนแต่ก่อน แล้วงานหัตถกรรมที่เราทำขายที่บ้าน ก็มีลูกค้ามาขอซื้ออยู่เรื่อย ๆ เงินมันมาหาเราชนิดไม่ขาดมือเลยค่ะ แถมเรายังได้รับเลือกเป็นกำนันดีเด่นระดับอำเภอ ปี ๒๕๕๔ อีกด้วย ดิฉันเชื่อมั่นล้านเปอร์เซ็นต์ ว่าต้องเป็นอานุภาพบุญบวชและบุญชวนคนบวช อย่างแน่นอน ที่ทำให้เราได้พบกับชีวิตใหม่ที่ แฮบปี้สุด ๆ ค่ะ"
ถึงวันนี้ ยอดหญิงอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนทั้งสองยังออกแบบชีวิตของตนเอง โดยเลือกที่จะกระทำแต่ความดี และมีพระนิพพานเป็นนิมิตหมาย และยังคงเดินหน้าเป็นผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรชวนบวชอยู่ต่อไป ...จะมีสักกี่ครั้ง ที่เราจะสามารถคิดดี พูดดี ทำดีได้ตลอดเวลา จะมีสักกี่หน ที่จะได้ทำในสิ่งที่แม้แต่เรายังต้องยกย่องตัวเอง ดังนั้น การบวชเมื่อยังมีโอกาส จึงนับเป็นสิ่งที่พึงกระทำมากที่สุด เพราะจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้นว่า ชีวิตที่ผ่านมา เราทำตัวได้ดีพอหรือยัง การแก้ไขความผิดพลาดควรเริ่มต้นที่ตรงไหน ความสุขที่ยิ่งกว่า เราจะเป็นเจ้าของได้หรือไม่ และผลบุญที่ได้มาก็พร้อมจะเปลี่ยนชีวิตเราได้จริง ๆ
|