มีผู้ประพันธ์กลอนบทนี้ไว้อย่างไพเราะ กินใจ สื่อความหมายของความซาบซึ้งใจ ในความเมตตาของพระเดช
พระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อ ธัมมชโย) ที่มีต่อศิษยานุศิษย์ทั่วโลก คอยเป็น แสงธรรมส่องนำทางแก่คนทั่วโลก และมีมโนปณิธาน อันแน่วแน่ในการสร้างสันติสุขอันไพบูลย์ให้เกิดขึ้นแก่โลกใบนี้
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อุปสมบท เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ อุโบสถวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒ พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)ท่านเป็นพระภิกษุ
ุผู้เคร่งครัดในศีลาจารวัตร มุ่งศึกษาธรรมะทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติ ดำรงตนอยู่ในโอวาทของพระอุปัชฌาย์อาจารย์
และ มุ่งมั่นในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปทั่วโลกดังคำของท่านที่กล่าวถึงอุดมการณ์ในการบวชไว้ตอนหนึ่งว่า "การบวชเป็นพระไม่ใช่ของง่าย หาใช่ครองผ้ากาสาวพัสตร์แล้วจะเป็นพระได้จะต้องปฏิบัติกิจวัตรของสงฆ์ซึ่งมีศีล ๒๒๗ ข้อ ให้ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย...การบวชนั้นถ้าจะให้ได้บุญกุศลควรจะเป็นที่พึ่งของพระศาสนาได้ด้วยไม่ใช่บวชมา
เพื่อพึ่งพระศาสนา" ตลอดระยะเวลา ๓๘ พรรษาในเพศสมณะ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านไม่เคยว่างเว้น
จากการทำหน้าที่เผยแผ่พระธรรม คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่เพียงวันเดียว แม้ลำพังตัวของท่านเอง
จะมีอัธยาศัยชอบปลีกวิเวก อยู่เงียบๆ ตามลำพังอย่าง ผู้สันโดษ แต่ด้วยความเมตตาที่มีต่อสาธุชนผู้ตั้งใจมาประพฤติปฏิบัต
ิธรรมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่บ้านธรรมประสิทธิ์ จนกระทั่งมาพลิกผืนนาฟ้าโล่งจำนวน ๑๙๖ ไร่สร้างวัดพระธรรมกาย
เพื่อใช้ฝึกอบรมศีลธรรมสร้างคนให้เป็นคนดี ซึ่งมีทั้งนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ทหาร ตำรวจ พลเรือนมาเข้ารับการ
อบรมจำนวนมากมาย จนต้องขยายพื้นที่มาเป็น ๒,๐๐๐ ไร่ เพื่อให้เป็นสถานที่ประพฤติปฏิบัติธรรมของชาวพุทธทั่วโลก
|