เมื่อหลวงพ่อได้พบครูดีแล้ว นั่นก็คือ คุณยายและพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย หลวงพ่อจึงตั้งใจฟัง คำสั่งสอนของท่าน แล้วนำมาพิจารณาไตร่ตรอง หากไม่เข้าใจตรงจุดไหนก็จะไม่ปล่อยผ่าน จะต้องทั้งซักทั้งถาม จนกระทั่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติตาม หลวงพ่อฝึกฝนตนเองโดยยึดเอา ท่านทั้งสองเป็นต้นแบบตลอดมา
อยู่มาวันหนึ่ง หลวงพ่อได้ถามคุณยายว่า ที่ท่านตั้งใจสร้างบุญสร้างบารมีตลอดมานี้ คุณยายตั้งความปรารถนาจะไปเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเบื้องหน้าใช่ไหม?
คุณยายท่านบอกไม่ใช่ แต่ท่านตั้งใจจะติดตามพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมให้ได้
หลวงพ่อจึงถามคุณยายว่า ที่สุดแห่งธรรมตามที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ตั้งเป้าหมายไว้เป็นอย่างไร พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ท่านเป็นผู้ขยายความให้หลวงพ่อเข้าใจ ท่านให้ไปค้นดูในพระไตรปิฎก วันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ มารมากันมืดฟ้ามัวดินเพื่อจะขัดขวางการตรัสรู้ธรรมของพระองค์ แม้แต่เทวดา พรหม อรูปพรหม ก็ทิ้งพระองค์ท่านให้อยู่ที่โคน ต้นโพธิ์เพียงลำพัง แล้วต่างก็หนีไปอยู่ขอบจักรวาลกันหมด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไม่มีอาวุธใดๆ ที่จะสู้กับเหล่ามาร พระองค์จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานนึกถึงบุญบารมีทั้ง ๑๐ ทัศที่พระองค์ทรงสร้างมา ด้วยบารมีที่เต็มเปี่ยมของพระองค์จึงทรงปราบมารประหารกิเลสได้สำเร็จ และได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธทั่วโลกเข้าใจกันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชนะมาร ทรงปราบกิเลสได้หมดสิ้น
แล้วท่านก็ให้ดูในพระปฐมสมโพธิกถาเพิ่มเติมอีก มีข้อความที่ปรากฏในหนังสือว่า มารที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชนะนั้น เป็นกิเลสมารที่ห่อหุ้มใจมานานแสนนานนับภพนับชาติ ไม่ถ้วน แต่ตัวพญามารนั้นพระองค์ยังปราบไม่สำเร็จ พญามารได้อาราธนาพระองค์ให้เข้า พระนิพพาน ไม่ยอมให้อยู่สั่งสอนสัตวโลก แต่พระองค์ทรงต่อรองกับพญามาร ในที่สุดพระองค์ก็ได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนา อบรมชาวโลกให้ได้บรรลุธรรมตามพระองค์ จนกระทั่ง พระธรรมคำสอน ของพระองค์ได้รับการถ่ายทอดต่อๆ กันมาจนถึงพวกเรา
นอกจากนี้ในมหาปรินิพพานสูตร ได้กล่าวไว้ว่า พญามารได้มาทูลเตือนพระสัมมา สัมพุทธเจ้าให้ทรงปรินิพพานในอีก ๓ เดือนข้างหน้าตามที่ได้ตกลงกันในวันตรัสรู้ ซึ่งก่อนหน้านี้พระพุทธองค์ได้ทรงให้นัยกับพระอานนท์ถึง ๑๖ ครั้งด้วยกันในวาระต่างๆ แต่พระอานนท์ถูกมารมาดลใจให้ไม่เข้าใจนัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จนกระทั่งพระอานนท์ไม่ได้ทูลอาราธนา
จากข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านชี้ให้ดูนี้ ทำให้หลวงพ่อ ได้รู้ว่า
๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชนะกิเลสมารที่ห่อหุ้มใจพระองค์มานับอสงไขยภพ อสงไขยชาติไม่ถ้วน
๒. พวกพลมาร เสนามารต่างๆ พ่ายแพ้ต่อพระพุทธองค์ แต่พญามารนั้นยังอยู่ตามรบกวนชาวโลก รวมถึงตามขัดขวาง การสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่จะไปบังเกิดข้างหน้าไปอีกนานเท่าไรก็ไม่มีใครทราบได้
คุณยายและหลวงพ่อธัมมชโยจึงขมวดประเด็นทั้งหมดแล้วสรุปให้ฟังว่า จุดนี้เป็นที่มาของ การตั้งเป้าหมายจะไปให้ถึง ที่สุดแห่งธรรม
หลวงปู่วัดปากน้ำท่านเคยบอกกับหมู่คณะชุดทำวิชชา ในยุคนั้น ซึ่งคุณยายท่านเป็นหัวหน้าเวรผลัดกลางคืนว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วนแล้ว แต่ละพระองค์ทรงปราบกิเลสมารได้หมดสิ้น แต่ตัวพญามารนั้นยังปราบไม่สำเร็จ
หลวงปู่ท่านได้ค้นเข้าไปในศูนย์กลางกายพบว่า มีผู้ที่ตั้งความปรารถนาจะสร้างบารมีไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม ไม่เพียงแค่จะปราบกิเลสมารที่ห่อหุ้มใจให้หมดไปเท่านั้น และหากยังปราบ พญามารไม่ได้ เป็นตายอย่างไรจะยังไม่ยอม เข้าพระนิพพาน
คุณยายท่านได้รับการถ่ายทอดเรื่องนี้จากพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำในโรงงาน ทำวิชชา แล้วหลวงปู่ท่านก็ให้ชุด ทำวิชชาระลึกชาติไปดูความเป็นมาเป็นไปของเหตุที่ต้องสร้างบารมีเพื่อจะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม
หลวงพ่อถามคุณยายว่า จะต้องสร้างบารมีอีกยาวนานเท่าไร จึงจะขนสรรพสัตว์ไปได้ทั้งหมด เพราะในพระไตรปิฎก บันทึกไว้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท คือ
๑. พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า ทรงมีปัญญามากจึงสร้างบารมีได้เต็มเปี่ยมเร็ว ใช้เวลา ๒๐ อสงไขยกับแสนกัป
๒. พระสัทธาธิกะพุทธเจ้า ทรงสร้างบารมีถึง ๔๐ อสงไขยกับแสนกัป
๓. พระวิริยาธิกะพุทธเจ้า สร้างบารมี ๘๐ อสงไขยกับแสนกัป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนตั้งความปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปให้หมดโลกให้ได้ แต่สัตวโลกที่ยัง ไม่ยอมบำเพ็ญบารมีติดตามพระองค์ไปมีอยู่เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งแม้แต่พระพุทธองค์เอง ยังตรัสอุปมาว่าทรงช่วยเหลือ สัตวโลกไปได้เพียงแค่จำนวนฝุ่นในเล็บมือ๓ เท่านั้น
คุณยายท่านตอบหลวงพ่อเพียงแค่ว่า ผู้ที่ตั้งใจจะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม ถ้ากำลังใจไม่พอก็ไปไม่ได้ แต่ถ้ายอมเอาชีวิต เป็นเดิมพันในการสร้างบารมีตั้งแต่วันนี้ ก็ยังพอมีโอกาส
(อ่านต่อฉบับหน้า)