เรื่อง : โค้ก อลงกรณ์
ช่วงบ่ายขณะที่เดินรอบบริเวณอาคารสำนักงานใหญ่ มีการพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ และเรื่องหนึ่งของการสนทนาที่ผมสนใจ ก็คือ เรื่องวาระการครบรอบ
ปีนี้ครบรอบ ๔๐ ปีในการสร้างวัดพระธรรมกาย หลายท่านย้อนนึกถึงภาพอดีตที่เริ่มเข้ามาบุกเบิก สร้างวัด ขณะที่ความทรงจำกำลังเดินทางสู่วันวารเช่นนี้ ใครคนหนึ่งก็ดึงทุกคนกลับมาสู่เวลาในปัจจุบัน
มองบรรยากาศโดยรอบสำนักงานใหญ่ที่เดินอยู่แล้วก็นึกตามได้ว่า อาคารหลังนี้ี่สร้างเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๗ เท่ากับว่าเราได้ใช้งานกันมาครบ ๑๖ ปีเต็มพอดี
ในตอนนั้นอาคารหลังนี้เร่งสร้างให้ทันใช้งานเฉพาะหน้า เป็นอาคารที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว เมื่อมาถึงวันนี้ร่องรอยการใช้งาน ความทรุดโทรมบางแห่งจึงมีปรากฏให้เห็น
เอนกประสงค์สารพัดที่ใช้งานอาคารหลังนี้ สร้างชั่วคราวแต่ใช้งานได้ยาวนานคุ้มค่าจริง ๆ เช่นเดียวกับสภาหลังคามุงจาก หมู่กุฏิจากของสามเณร หรือสิ่งต่าง ๆ ที่สร้างมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิก แม้ปัจจุบันก็ยังได้ใช้งานอย่างเต็มที่
วันเวลาผ่านไปเมื่อใช้งานจนทรุดโทรมก็ปรับซ่อม หรือถ้าพังก็สร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งต่างจากกาลเวลา ที่ใช้แล้วมีแต่ลดลงไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถที่จะต่อเติมหรือว่าสร้างเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้
เมื่อรู้คุณค่าเราจึงใช้ประโยชน์จากเวลากันอย่างเต็มที่ เร่งสร้างบารมีตามหลวงพ่ออย่างต่อเนื่องแบบไม่ได้นับวันนับเดือน
หากไม่มีใครมาสะกิดให้นึกคิดทบทวน ต่างก็ลืมนึกไปเลยว่า เราสร้างบารมีกันมายาวนานกี่ปี
ส่วนหลวงพ่อท่านก็มุ่งเดินหน้าจนไม่ได้ย้อนทวนเช่นกัน เพราะเมื่อได้พูดคุยถึงวาระการครบรอบ ต่าง ๆ ขึ้นมา ทำให้ท่านนึกขึ้นได้ จึงพูดขึ้นว่า "๒๒ เมษายนปีนี้ สังขารของหลวงพ่อก็ใช้มาครบ ๖๖ ปีพอดี"
เป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็ต้องย้อนกลับมานึกทบทวนวาระที่จะครบรอบอายุของตัวเองเช่นกัน เมื่อได้ยินหลวงพ่อพูดเช่นนี้
ผมว่ามีหลายคนในกลุ่มที่เดินตามหลังหลวงพ่ออยู่นี้ มีอายุการสร้างบารมีมาไม่น้อยกว่าอายุของอาคารสำนักงานใหญ่แห่งนี้
เป็นเรื่องน่าฉงนและแปลกใจยิ่ง เมื่อเรามารู้อีกทีว่าเราเข้าสู่วัยคุณลุงคุณป้าแบบไม่ทันตั้งตัว นี่อายุเราเท่านี้แล้วหรือ ทำไมเวลาผ่านไปรวดเร็วเช่นนี้
ขณะที่ต่างก็กำลังย้อนทบทวน บางคนกำลังภูมิใจที่ได้สร้างบารมีตามหลวงพ่อมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา บางท่านกำลังปีติใจที่ได้สั่งสมทุกบุญไม่เคยขาด หรือบางท่านกำลังเสียใจและเสียดายแทนเพื่อนนักสร้างบารมีที่ลาจากไปก่อน ใครกำลังรู้สึกอย่างไรผมไม่อาจรู้้แน่ชัด สำหรับผม เวลานี้คิดอย่างเดียวว่าอยากตามหลวงพ่อให้ทัน
อยากตามให้ทันว่าท่านกำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร ในเมื่อท่านได้พูดอีกประโยคหนึ่งขึ้นมา คล้าย ๆ รำพึงกับตัวเองเบา ๆ ซึ่งผมบังเอิญไปได้ยินเข้า
"๒๒ เมษายนปีนี้สังขารของหลวงพ่อนี้ก็ใช้มาครบ ๖๖ ปีแล้ว" ผมสังเกตเห็นว่าสายตาหลวงพ่อมองต่ำลงมาที่ขาบวม แล้วผมก็ได้ยินท่านพูดเบา ๆ ขึ้นมาว่า "ขอหลวงพ่อยืมใช้ไปต่อชั่วคราว"
เป็นเรื่องปกติที่ตอนนี้ขาหลวงพ่อทั้งบวมและตึง เพราะระยะทางรอบสำนักงานใหญ่ที่เดินผ่านมาก็ใช่ว่าน้อย ๆ
แม้สุขภาพหลวงพ่อจะแข็งแรงไม่เต็มที่ ผมก็ยังรู้สึกดีใจที่เมื่อมองไปแล้วเห็นหลวงพ่อยังเดินนำพวกเราต่อไปได้เรื่อย ๆ แม้จะเดินช้ากว่าเดิมหน่อยก็ไม่เป็นไร ส่วนพวกเราที่เดินตามหลังกันเป็นกลุ่มเหลียวหันมองหน้ากันแล้วส่งยิ้ม เดินตามหลวงพ่อต่อไปอย่างสบายใจ
ขณะที่เดินยิ้ม ๆ กันอยู่นี้ คำรำพึงของหลวงพ่อยังคงติดค้างอยู่ในใจ และคงไม่มีทางหายถ้าหาก ผมยังหาความหมายที่ท่านรำพึงไม่เจอ
"ขอหลวงพ่อยืมใช้ไปต่อชั่วคราว" ท่านต้องการบอก สอน เตือนสติ หรือมีนัยใดฝากไว้ให้ไปคิดต่อหรือเปล่า ก็ในเมื่อสังขารของใคร คนนั้นก็ย่อมเป็นเจ้าของและมีสิทธิ์ใช้ได้เต็มที่ แล้วทำไมหลวงพ่อต้องขอยืม
หากมองอีกมุมหนึ่ง ถ้าสังขารเป็นของเราแท้จริง เราว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามนั้น ในเมื่อเราอยากมุ่งเดินไปข้างหน้าต่อ แล้วทำไมสังขารถึงอิดออดทำท่าจะไม่ยอมไปกับเรา นี่แสดงว่าสังขารนี้ ไม่ได้เป็นของเราจริง ๆ
หากไม่ได้เป็นของเรา แล้วเป็นของใคร
ส่วนที่ท่านว่าขอยืมใช้ชั่วคราวนั้น อาจเป็นได้หรือไม่ว่า ท่านกำลังขอยืมสังขารของตัวท่านเองใช้ รวมถึงท่านกำลังขอยืมใช้สังขารของพวกเราทุกคน
ถ้าท่านขอยืมพวกเราใช้จริง ๆ ก็แทบไม่มีความสงสัยเลยว่าหลวงพ่อท่านจะขอยืมเอาไปใช้ทำอะไร ถ้าไม่ใช่ใช้ให้เราได้สร้างบุญสร้างบารมี
ในฐานะลูกศิษย์ แม้ครูบาอาจารย์ไม่เอ่ยปากขอยืม เราก็อาสาเต็มใจให้ท่านได้ใช้เต็มที่อยู่แล้ว
ผมแปลความตามที่ผมเข้าใจ อาจจะถูก ใกล้เคียง หรือว่าไม่ถูกเลยก็็เป็นได้
ถ้าให้แน่ชัด สมมติว่าในวันที่อายุผมครบ ๖๖ ปี มีภาระหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายอย่างท่าน สุขภาพเริ่มเสื่อมในระดับเท่า ๆ กัน ถึงตอนนั้นผมอาจเข้าใจนัยของคำ ๆ นี้อย่างลึกซึ้งก็เป็นได้ "ขอยืมใช้ชั่วคราว"
หรือว่าคิดมากไปเอง บางทีท่านอาจแค่รำพึงขึ้นเฉย ๆ โดยไม่ได้มีนัยใด ๆ ก็ได้ แต่การขบคิดให้ มากกว่าเดิมก็ทำให้ระหว่างทางเดินเราได้เก็บเกี่ยวประโยชน์ได้มากขึ้น
และเมื่อมองกลับมายังตัวเราจะพบว่า สังขารคนเราก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งก่อสร้างหลังนี้ ที่ใช้งานได้เพียงชั่วคราว และนับวันมีแต่ชำรุดทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ
เฉลี่ยแล้วสรีรสถานประจำตัวเรานี้ให้ยืมใช้ได้ ๗๕ ปีเท่ากันทุกคน ของบางคนตัวอาคารยังใหม่เอี่ยม แข็งแรงน่าใช้ ในขณะที่ของบางคนบานพับเริ่มฝืด หลังคาเริ่มรั่ว สีสันภายนอกซีดจาง ประตูหน้าต่างเริ่มมีเสียงดังอ๊อดแอ๊ด ผนังและฝ้าเพดานปลวกเริ่มกัดกิน
ก่อนที่สภาพจะชำรุดทรุดโทรมมากไปกว่านี้ ทางที่ดีอะไรซ่อมได้ควรรีบจัดการซ่อม ที่สำคัญควรรีบชิงช่วงใช้ประโยชน์ให้ได้เต็มที่ ก่อนที่ใครก็ไม่รู้จะมาอ้างว่าเป็นเจ้าของ และจะมาขอทวงเอากลับคืนไป พร้อมกับพูดเบา ๆ กับเราว่า หมดเวลาให้ยืมใช้
.........................................................................