วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ ธุดงค์ธรรมชัย เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติและศาสนา

ทบทวนบุญ ๔

เรื่อง : พระสมศักดิ์ จนฺทสีโล


 

ธุดงค์ธรรมชัย

เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติและศาสนา

 

เรียบเรียงจากโอวาทพระภาวนาวิริยะคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

          การเดินธุดงค์ในครั้งนี้ ไม่ใช่การเดินธุดงค์ธรรมดา แต่เป็นการเดินธุดงค์ เพื่อความมั่นคงของ ประเทศชาติ และพระพุทธศาสนาไปด้วยในตัว ในฐานะที่พวกเรามีโอกาส มาอยู่ในสถานที่อันเป็นมหามงคล คือแผ่นดินเกิดของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ก็อยากจะให้ข้อคิด เป็นแนวทางในการสร้างบุญสร้างบารมีของพวกเราต่อไป จะได้ช่วยกันรื้อวัฏสงสาร ตามปณิธาน ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านตั้งใจ ปูพื้นฐานไว้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่

          ก่อนอื่นขอให้ภาพรวมกับพวกเราว่า แท้จริงแล้วโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ หรือจักรวาลที่เราอยู่นี้ ก็คือคุกสำหรับขังสรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดคุก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า จักรวาลหรือโลกนี้ใหญ่นัก มองสุดสาย ตาก็ยังไม่สุดขอบโลก ขอบจักรวาล เพราะฉะนั้น จึงดูเหมือนว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายมีอิสระ มีเสรีภาพ แต่แท้ที่จริงสรรพสัตว์ทั้งหลาย เกิดแล้วก็แก่เจ็บและตายอยู่ในจักรวาลนี้ ไม่มีสิทธิ์ออกไปที่ไหน แม้อาจจะมีสัตว์โลกบางประเภท ที่มีฤทธิ์สามารถออกจากโลกมนุษย์นี้ ไปเยี่ยมดวงจันทร์ได้ หรือไปเยี่ยมจักรวาลอื่นได้ แตˆก็เป็นเพียง การไปเยี่ยมคุกต่างแดนเท่านั้น

          นี้เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก แต่เมื่อพระภิกษุได้ศึกษาพระไตรปิฎกพบคำว่า การเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ก็คิดแต่เพียงว่าเป็นเรื่องของการย้ายที่อยู่ ย้ายจักรวาล แต่ในสายตา ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านบอกว่านี้เป็นเรื่องของการย้ายคุก แม้อนันตจักรวาลก็เป็นคุก เพราะฉะนั้นจักรวาลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ก็คือ คุกซ้อนคุกไปตามลำดับ แม้นักดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ของโลก ที่มีเจตนารมณ์จะไปดาวดวงนั้น ดวงจันทร์ดวงนี้ ก็ยังไม่มีใครสำนึกเลยว่า โลกและจักรวาลคือคุก เมื่อโลกและจักรวาลคือคุก นั้นเท่ากับว่าพวกเราที่นั่งกันอยู่ในที่นี้ และสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก คือนักโทษที่รอการประหาร มิใช่นักโทษธรรมดา

          เมื่อหลวงพ่อเด็ก ๆ ก็เคยได้ยินคำพูดว่า เราติดคุก เราเป็นนักโทษ แต่ไม่เข้าใจ จนกระทั่ง เมื่อมาศึกษาคำสอนของหลวงปู่ จึงเข้าใจว่า พวกเราเป็นนักโทษรอประหาร แต่ทำไมเราจึงไม่รู้ตัวกัน เหลียวไปดูตัวอย่างในชนบท ที่ประชาชนเขาเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู แล้วปล่อยให้วิ่งตามลานบ้าน ไก่เหล่านั้นก็เป็นอิสระ ไม่ได้อยู่ในเล้า วิ่งเล่นอยู่ในลานบ้าน ถึงเวลาเจ้าของก็มีอาหารให้กิน ถ้าไม่อิ่มก็ไปหากินเองตามชายทุ่ง ชายป่า หมูที่เลี้ยงไว้ เขาก็ปล่อยไว้ที่ลานบ้าน มันก็มีความรู้สึกว่า มันมีอิสระ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกขัง เพราะคอกก็ไม่มี วิ่งเล่นได้สบายกว่าจะรู้ว่าไม่อิสระก็ต่อเมื่อมาเป็น ไก่ย่างบ้าง เป็นหมูหันบ้าง ทำไมระหว่างนั้นจึงไม่รู้ตัวว่าไม่มีอิสระ ก็เพราะว่ามันไม่เห็นคอก ไม่เห็นอุปกรณ์ในการเข่นฆ่า มันก็เลยคิดว่ามันอิสระ มนุษย์ก็เหมือนกัน เราไม่เห็นกำแพงคุก เพราะว่าโลกใหญ่นัก ไม่มีกำแพง แต่เราก็ออกไปไม่ได้ แม้ไม่มีเครื่องพันธนาการ โซ่ตรวน ไม่มีคอก แต่ว่าเราก็ไปไหนไม่ได้ เพราะเรายังต้องอาศัยบ้านอาศัยเรือนอยู่ บ้านเรือนของเรากลายเป็นเครื่องพันธนาการโดยที่เราไม่รู้ตัว

          สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนา แต่ว่าต้องการคำอธิบายที่ลึกซึ้ง หาคนอธิบาย ได้ยาก แต่หลวงปู่ของเราเฉลียวใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นท่านจึงตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม หลังจากปฏิบัติธรรมอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วท่านก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า คำสอนนั้นเป็นจริง จากการที่เข้าถึงธรรมกายของท่าน ทำให้ท่านมองเข้าไปในตัว แล้วเห็นโลก เห็นจักรวาล ตลอดทั้งแสนโกฏิจักรวาลเหมือนเห็นผลส้ม ผลมะนาวในเข่ง และสามารถที่จะใช้ธรรมกาย ใช้กายละเอียด หยิบโลกทั้งโลกมาพลิกดูได้รอบด้านเพราะฉะนั้น หลวงปู่จึงเร่งรีบมาสอนชาวโลกให้ตั้งใจฝึกตัว ให้เข้าถึงพระธรรมกายในตัวเร็ว ๆ แล้วจะได้เห็นตรงตามความเป็นจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้เมื่อ ๒,๖๐๐ ปีก่อนโน้นว่า โลก จักรวาล อนันตจักรวาล คือคุก มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย คือนักโทษรอการประหาร

          นอกจากนี้ โลกและจักรวาลนี้ก็ไม่ได้ปล่อยให้เราอยู่แบบสบาย ยังมีกฎมีระเบียบครอบคลุม เอาไว้อีก คือกฎแห่งกรรม ซึ่งกฎแห่งกรรมนี้มีหลักสั้น ๆ ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือโลกก็มีกฎระเบียบของโลก ทำนองเดียวกับประเทศทั้งหลายก็มีกฎระเบียบของประเทศนั้น ๆ ที่เรียกว่ากฎหมาย ซึ่งมีไว้ปกครองประชาชนในประเทศนั้น ๆ ไม่ว่าประชาชนจะรู้หรือไม่รู้กฎหมายก็ตามถ้าทำผิดจะถูกลงโทษตามกฎหมายทันที ทำนองเดียวกันกับกฎแห่งกรรม ไม่ว่าชาวโลกจะรู้หรือไม่รู้ แต่กฎแห่งกรรมก็ครอบคลุมโลก และคนในประเทศนั้น ๆ ก็อยู่ใต้กฎแห่งกรรมด้วยเช่นกัน

          ตรงนี้เป็นอันตรายใหญ่หลวงของสัตว์โลก เพราะแม้จะปฏิบัติตามกฎหมายในประเทศ แต่ถ้าผิดกฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรมก็มิได้ละเว้นเขาเลย เพราะเขาคือนักโทษของโลกและจักรวาลนี้ เพราะฉะนั้นเป็นภาระหน้าที่ ของแต่ละคนที่จะต้องรีบศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรีบปฏิบัติธรรม เพื่อให้ใจหยุดใจนิ่งเข้าถึงพระธรรมกายในตัว แล้วจะได้รู้ความจริงของโลกอย่างที่ว่านี้ จะได้หาทาง ควบคุมตัวเองไม่ให้ละเมิดกฎแห่งกรรม เมื่อไม่ละเมิดกฎแห่งกรรมได้ดีแล้ว เวรกรรมใหม่ก็ไม่ได้สร้าง อย่างมากก็มีแต่เวรกรรมเก่า ที่เกิดจากชาติที่แล้วตามมาบีบคั้น แต่เมื่อเราไม่ทำเวรกรรมใหม่ เราก็ชดใช้กรรมเก่าของเราไป ในเวลาเดียวกันก็สร้างความดีใหม่ ในที่สุดกรรมเก่าก็ย่อมหมดไป กรรมใหม่ซึ่งเป็นกรรมดีก็ท่วมท้น เราก็มีสิทธิ์ที่จะออกจากโลก ออกจากจักรวาลนี้ไปได้ หรือออก จากคุกนี้ไปได้

          ความจริงเหล่านี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก แต่มีน้อยคนเหลือเกินที่รู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ทำอย่างไรจึงจะให้ชาวโลก ได้รู้ความจริงเหล่านี้ โบราณก็มีวิธีหนึ่งสืบทอดกันมา ก็คือการเดินธุดงค์ เมื่อพระภิกษุในอดีตบวชแล้ว ได้ศึกษาเรื่องความจริงของโลกและชีวิตโดยภาคทฤษฎีแล้วตลอดพรรษา ว่าโลกและจักรวาลคือคุก ทุกชีวิตคือนักโทษรอประหาร โลกนี้มีกฎแห่งกรรมเป็นกฎเหล็ก คอยติดตามบังคับควบคุมให้โทษ ผิดพลาดเมื่อไรมีโทษอยู่ แต่ถ้าไม่ผิดไม่พลาด โทษก็ลดลงแถมถ้าได้ทำความดีเพิ่มขึ้น เดี๋ยวก็มีโอกาสที่จะหลุดออกจากคุก พ้นจากโทษรอประหารตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันต์ไป เพื่อให้ซาบซึ้งความจริงประจำโลกประจำชีวิตอย่างนี้ ออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์ พระอุปัชฌาย์ตามวัดต่าง ๆ ก็จะพาลูกวัดออกเดินธุดงค์เพื่อฝึกสมาธิ ในท่าเดิน ซึ่งจะทำให้สมาธิก้าวหน้าได้เร็ว เพราะฉะนั้นในอดีตการเดินธุดงค์หลังออกพรรษาจึงเป็น ขนบธรรมเนียมที่สำคัญของชาวพุทธ คือพระหนุ่มเณรน้อย จะได้ฝึกสมาธิในท่าเดิน ฝึกความทรหด อดทน ฝึกความรู้ประมาณด้วยการเดินธุดงค์ ส่วนประชาชนก็จะได้มีโอกาสชื่นชมลูกหลานของตัวเองที่มาบวช ว่า ๑ พรรษาที่ผ่านมา พระลูกพระหลานได้ศึกษาพระธรรมวินัย ของพระตถาคตเจ้าอย่างจริงจัง และบัดนี้ก็กำลังออกเดินธุดงค์เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา และสมาธิของตัวเองให้แกร่ง กล้าขึ้น ในเวลาเดียวกันก็ถือโอกาส ที่จะบำรุงพระลูกพระหลานที่ออกเดินธุดงค์ให้ได้รับความสะดวกสบาย ซึ่งถือว่าเป็นบุญใหญ่ เพราะว่าพระเหล่านี้ ก็ได้ฝึกตัวมาอย่างดีตลอดพรรษา นี้เป็นที่มาของการเดินธุดงค์ตั้งแต่อดีต

          แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในระยะประมาณ ๕๐-๖๐ ปีมานี้ การเดินธุดงค์ค่อย ๆ ทยอยหายไป เนื่องจากป่าถูกทำลายไปจนเกือบหมด บัดนี้มีแต่ป่าคอนกรีต ก็มีทางเลือกอยู่ว่า อย่างแรก ในเมื่อป่าโดยธรรมชาติหมดไปแล้ว เราก็เลิกไม่ต้องไปเดินธุดงค์ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ การที่จะทำสมาธิ ของเราให้ก้าวกระโดดอย่างอดีตก็หมดไป อย่างที่สอง เมื่อป่าโดยธรรมชาติหมดไป เหลือแต่ป่าคอนกรีต ก็ต้องถามว่าแล้วจะเดินไหม ถ้าไม่เดิน แม้แต่คำว่าสมาธิอีกหน่อยมนุษย์ก็จะไม่รู้จัก และการที่จะทำสมาธิของตัวเองให้ก้าวหน้า ก็ต้องใช้เวลาอีกกี่ปีก็ไม่ทราบ เพราะฉะนั้นพระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนี ก็ตัดสินใจว่าธุดงค์ธรรมชัยต้องเกิด เดินธุดงค์ผ่าเมืองหรือเดินธุดงค์ ในป่าคอนกรีตจำเป็นต้องทำ แล้วการทำอย่างนี้จะไม่เป็นการทำนอกรีตนอกรอยไปหรือ เพราะไม่เคย มีใครเขาทำกัน ไม่มีต้นแบบ แต่ในที่สุดก็เจอต้นแบบจนได้ ต้นแบบในการเข้ามาฝึกสมาธิกลางเมือง กลางป่าคอนกรีต ก็ได้มาจากหลวงปู่นี่เอง

 

 

          ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องเดินธุดงค์ จากวัดพระธรรมกายมุ่งดิ่งตรงมากราบ พระเดชพระคุณหลวงปู่ที่นี่ เพราะว่าท่านปักหลักเอาไว้ให้ในอดีต หลวงปู่ท่านพูดไว้ชัดว่า ตั้งแต่บวชวันแรกก็ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน ทำภาวนามาตลอด ไม่ได้เว้นแม้วันเดียว และท่านเองก็เดินธุดงค์ในป่า มาอย่างฉกาจฉกรรจ์ ซึ่งเพื่อนพระธุดงค์ที่เคยเดินธุดงค์ เคียงบ่าเคียงไหล่มากับหลวงปู่เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า เคยเดินธุดงค์กับหลวงปู่ ไปหาที่สงบทำภาวนา แต่มาถึงระยะหนึ่งหลวงปู่ก็ลาพรรคพวก ทั้งหลายที่เคยเดินธุดงค์ด้วยกันมา บอกว่าถ้าพวกเราซึ่งฝึกอบรมตัวมาดีอย่างนี้ยังเก็บตัวอยู่ในป่า พระพุทธศาสนาจะหมดเสียเราต้องไปปักหลักอยู่ในเมือง ถ้าใครฝึกตัวเองดีแล้วก็เข้าป่าหายไป อีกหน่อยการทำสมาธิภาวนา การปฏิบัติธรรม การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘เพื่อกลั่นกายกลั่นใจ ตัวเองให้ใส จะได้หลุดออกจากคุกคือโลก คือจักรวาล จะหมดไปเสีย ท่านจึงขอเข้ามาปักหลักใน เมือง แล้วหลวงปู่ก็มาประจำอยู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อย่างที่เราทราบกัน

          จากหลักฐานที่ได้นี้เอง ทำให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราจึงถือหลักที่ว่า การเดินธุดงค์ เป็นการช่วยให้สมาธิก้าวกระโดด และการที่จะทำสมาธิให้ก้าวกระโดดนั้น แม้ไม่มีป่าก็ต้องทำ หากไม่ทำพระพุทธศาสนาจะอยู่ไม่ได้ เหมือนอย่างที่หลวงปู่ตัดใจทิ้งป่าที่แสนสงบมาอยู่ที่วัดปากน้ำ แล้วก็มาตั้งหลักเผยแผ่วิชชาธรรมกาย มาสอนการปฏิบัติธรรมเพื่อให้ใจหยุดใจนิ่ง เข้าถึงพระ-ธรรมกายในตัว มาสอนวิธีที่จะไปดูให้เห็นชัดว่า โลกทั้งโลกคือคุก จักรวาลทั้งจักรวาลคือคุกซ้อนคุก ยิ่งอนันตจักรวาลก็จะยิ่งเป็นคุกซ้อนคุกยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลำดับ แม้ที่สุดทั้งสวรรค์ทั้งนรกก็เป็นคุก ถ้าจะพูดสำนวนปัจจุบัน สวรรค์ก็เป็นคุกเหมือนกัน แต่เป็นคุกไฮโซส่วนนรกก็คุกโลโซ

          เพราะฉะนั้น การเดินธุดงค์ของเราจึงเป็นการทำสมาธิให้ก้าวกระโดดตามธรรมเนียมของบูรพาจารย์ นี้คือประโยชน์ที่พระธุดงค์ได้ แต่เนื่องจากว่าไม่มีป่าจะให้เดิน ก็เลยต้องเข้าป่าคอนกรีต นี้เป็นเส้นทางที่หลวงปู่เตรียมเอาไว้ให้ เพราะฉะนั้น ในการเดินธุดงค์ครั้งนี้จึงต้องมากราบหลวงปู่ก่อน ณ อนุสรณ์สถานนี้ ส่วนสิ่งที่ญาติโยมได้ก็คือ ได้เห็นพระที่เขาส่งปัจจัยมาบำรุงกำลังเดินธุดงค์ ได้เห็นว่าปัจจัยที่ถวายพระมิได้สูญเปล่า แต่เป็นประโยชน์ต่อตัวพระ และเป็นประโยชน์ในการสืบทอด อายุพระพุทธศาสนา เห็นแล้วก็จะได้ชื่นใจ นอกจากได้ชื่นใจแล้ว ก็ยังได้มาติดตามบำรุงอุปัฏฐาก พระลูกพระหลานให้ชื่นใจยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เห็นชัด ๆ ว่า ลูกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยยังมีอยู่ ยังมิได้หายสาบสูญไป และบัดนี้เมื่อได้ฝึกตัว มาพอสมควรแล้ว ก็ถือโอกาสมาเป็นเนื้อนาบุญให้ญาติโยมได้ชื่นชม ได้ทำบุญ ได้มั่นอกมั่นใจว่า ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นให้ตั้งใจทำนุบำรุงพระภิกษุตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยต่อไป เพราะพระที่ประพฤติปฏิบัติธรรมเยี่ยงนี้ยังมีกระจัดกระจายกันอยู่ อย่าได้ท้ออกท้อใจว่าพระพุทธศาสนาจะหายไป ปีนี้รวบรวมกันมาเดินธุดงค์ ๑,๑๒๘ รูป ไม่แน่ปีหน้าอาจจะเพิ่มเป็น ๒,๑๒๙ รูป ไม่เกิน ๒-๓ ปี อาจจะเป็นหมื่นขึ้นมา อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะ ๔-๕ ปีที่แล้ว หลวงพ่อครูไม่ใหญ่บอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการตักบาตรกลางเมือง ให้แต่ละ จังหวัดได้ปลื้มใจว่าพระในจังหวัดตัวเองฝึกหัดขัดเกลาตัวเองได้ดีขนาดไหน ให้ออกมารับบิณฑบาต ทีละ ๕๐๐ รูป พันรูป หมื่นรูป พอบอกอย่างนี้ แต่ละวัดรวมทั้งประชาชนก็บอกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่วันนี้ก็อย่างที่เราเห็น ตักบาตรทีละพันรูปลืมไปแล้ว เพราะมีแต่หมื่นรูปเข้ามาแทน ก็ยังรออยู่ว่าอีกกี่วันจะตักบาตรทีละแสนรูปเท่านั้น ซึ่งก็คิดว่าคงไม่ช้าเกินไป เพราะหลวงพ่อหลวงปู่ทั้งหลายที่ตั้งใจฝึกฝนอบรมลูกศิษย์ลูกหาก็ยังมีอยู่ แล้วก็ตั้งใจร่วมกันทำงานอยู่ แต่ว่ายังไม่ได้มาเดินธุดงค์ร่วมกับเรา ยังไม่ได้รวมกันมานั่งสมาธิ ยังไม่รวมกันมาบิณฑบาตพร้อม ๆ กันกับเราเท่านั้น

          เพราะฉะนั้น ขอให้ดีใจเถิดว่า การเดินธุดงค์ของเราครั้งนี้ นอกจากเป็นประโยชน์แก่ตัวพระภิกษุเอง เพราะจะทำให้ทำสมาธิก้าวกระโดด ความแตกฉานในพระธรรมวินัยก้าวกระโดด ญาติโยมที่บำรุงอุปัฏฐากก็จะปลื้มอกปลื้มใจ แล้วก็ได้บุญแบบก้าวกระโดด ที่ว่าได้บุญก้าวกระโดดเพราะบุญจะได้มากได้น้อยมีองค์ประกอบอยู่ ๔ ข้อ คือ ๑.วัตถุที่มาทำบุญทำทานบริสุทธิ์ ๒.เจตนาบริสุทธิ์ ๓.ตัวญาติโยมที่มาบริจาคทานก็บริสุทธิ์ ๔.พระที่มารับทานก็บริสุทธิ์ แม้ยังไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ แต่ก็ฝึกมุ่งไปเพื่อจะให้เข้าถึงธรรมะเช่นเดียวกับพระอรหันต์ เมื่อองค์ประกอบ ๔ อย่างนี้ครบเมื่อไร บุญก็จะได้แบบก้าวกระโดด

           ญาติโยมทั้งหลายยิ่งเห็นพวกเราออกมาเดินธุดงค์อย่างนี้ก็ปลื้มอกปลื้มใจ เตรียมวัตถุทานจะมาทำบุญตักบาตร วัตถุทานเหล่านั้นก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว เจตนาก็บริสุทธิ์อยู่แล้วที่จะบำรุงพระ บำรุงพระพุทธศาสนา ตัวของโยมเองเมื่อเห็นพระลูกพระหลาน ตั้งใจปฏิบัติต่อเนื่องกันอย่างนี้เดี๋ยวก็มีกำลังใจที่จะปฏิบัติธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วก็มาเจอพระลูกพระหลานที่ฝึกตัวอย่างนี้ นับวันมิใช่แค่เพียงร้อย เพียงพัน มีแต่จะเพิ่มขึ้น ๆ องค์ประกอบเพื่อให้ได้บุญแบบก้าวกระโดดนี้ นับวันจะทวีมากขึ้นในแผ่นดินไทย เพราะฉะนั้นที่ว่าการเดินธุดงค์ของเรา จะทำให้ญาติโยมได้บุญแบบก้าวกระโดดนี้จึงเป็นเรื่องที่มิใช่เพ้อฝัน แล้วความเข้มแข็งของพระพุทธศาสนาก็จะเกิด แล้วเมื่อบุญที่ญาติโยมทำและบุญที่พวกเราตั้งใจฝึกตัว ให้เป็นเนื้อนาบุญที่สมบูรณ์มาบรรจบกัน เดี๋ยวบุญก็ท่วมแผ่นดินไทย พระพุทธศาสนาและประชาชนไทยก็มีแต่จะรุ่งเรือง มีแต่จะมีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป หลวงพ่อขออนุโมทนา ในการที่พวกเราทุกรูปได้ตั้งใจเดินธุดงค์ธรรมชัยในครั้งนี้ และขออนุโมทนาพวกเราทั้งหลาย ที่ให้การสนับสนุนการเดินธุดงค์ธรรมชัยตั้งแต่ต้น จนกระทั่งเสร็จสิ้นการเดินธุดงค์

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ 124 กุมภาพันธ์ ปี 2556

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล