Case Study กรณีศึกษา
มุทิตาจิต
(๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๘)
กราบนมัสการคุณครูไม่ใหญ่ที่เคารพอย่างสูง
ผมเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาพันธุ์แท้ครับ เพราะเริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่คุณครูไม่ใหญ่เปิดโรงเรียนมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เคยขาดเลยครับ ตั้งแต่ได้มาเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ผมเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน ผมจึงทุ่มเทสร้างบารมีอย่างเต็มที่เต็มกำลัง ในทุก ๆ บุญ เพราะเชื่อมั่นว่าตลอดชีวิตนี้คงไม่อาจได้ฟังสิ่งที่ดี ๆ อย่างนี้จากที่ไหนอีกแล้ว ยกเว้น DMC ช่องนี้ช่องเดียวครับ ผมกราบขอความเมตตาคุณครูไม่ใหญ่ฝันในฝันดังนี้ครับ
คุณแม่ของผม เริ่มมาวัดพระธรรมกายครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๒๗ แล้วก็เข้าวัดต่อเนื่อง เรื่อยมาแทบทุกอาทิตย์ ยิ่งวันอาทิตย์ต้นเดือน ท่านไม่เคยขาดเลยครับ นอกจากทำบุญด้วยตนเองแล้ว คุณแม่ยังทำหน้าที่ผู้นำบุญอย่างทุ่มเทสุดชีวิต โดยเฉพาะงานสลายร่างคุณยายอาจารย์ฯ คุณแม่ปลื้มปีติใจมากครับ ท่านตั้งใจออกทำหน้าที่แจ้งข่าวบุญแทบทุกวัน ตั้งแต่ ๙ โมงเช้าไปจนถึง ๖ โมงเย็น นานเป็นเดือน ๆ ทั้งที่อายุ ๖๐ กว่าปีแล้ว จนกระทั่งรวบรวมปัจจัยมาถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เป็นจำนวน 1S ครับ
ปกติคุณแม่เป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์มาก เพราะในวัยเด็กท่านผ่านชีวิตที่ลำบาก มามากต่อมาก ต้องพึ่งพาตนเองจนกระทั่งสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวมาได้ คุณแม่เป็นลูกสาวคนกลางในจำนวนพี่น้อง ๕ คน ท่านเป็นคนโชคชะตาอาภัพมาตั้งแต่เล็ก พอคุณยายของผมคลอดลูกชายคนสุดท้องได้ไม่นาน คุณตาก็มาเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน คุณแม่ของผมจึงกลายเป็นลูกกำพร้าพ่อ ลำพังตัว คุณยายเพียงคนเดียวไม่อาจเลี้ยงดูลูกทุกคนได้ จึงได้พาลูก ๆ เดินทางจากสระบุรีไปลพบุรี จำใจแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจาก คุณทวดของผม ซึ่งก็คือคุณตาแท้ ๆ ของคุณแม่ โดยคุณแม่จะเรียกติดปากว่า “พ่อใหญ่”
แทนที่พ่อใหญ่จะรับดูแลหลาน ๆ ไว้ทั้งหมด ท่านกลับเกรงใจภรรยาคนใหม่ที่แสดงท่าทางไม่พอใจ ทำตาค้อนปะหลับปะเหลือก ไม่เต็มใจรับ เพราะคิดว่าไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลานของตัว ในที่สุดพ่อใหญ่จึงแบ่งรับแบ่งสู้ รับเลี้ยงเฉพาะหลานสาวคนกลาง คือ คุณแม่ของผม ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง ๔ ขวบ คุณยายจึงจำใจต้องฝากคุณแม่ของผมไว้กับพ่อใหญ่ แต่ก่อนจะจากไป คุณยายสู้อุตส่าห์ปลอบคุณแม่ว่า ไม่ต้องห่วงนะลูก แล้วอีกหน่อยแม่จะกลับมารับ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีวี่แววว่าคุณยายจะกลับมารับคุณแม่สักที ทุกวันตอนพระอาทิตย์ตกดิน คุณแม่จะนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะคิดถึง แม่และน้อง ๆ
ตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ในบ้านของ พ่อใหญ่ ชีวิตของคุณแม่ไม่ได้มีความสุขสบายอย่างที่คิด ตรงกันข้ามคุณแม่ถูกคุณยายทวดซึ่งเป็นภรรยาใหม่ของพ่อใหญ่ใช้ให้ทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา ทั้งช่วยทำนา เลี้ยงหมู เลี้ยงควาย ตักน้ำวันละ ๗ หาบ ผ่าฟืน ทำงานจิปาถะสารพัดอย่าง แต่คุณแม่ไม่เคยได้รับความรักความเอาใจใส่จากคุณยายทวดเลย กลับถูกลูกของคุณยายทวดเอารัดเอาเปรียบ อยู่เสมอ วันใดคุณแม่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ก็จะถูกคุณยายทวดเฆี่ยนตีอยู่บ่อย ๆ แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่เคยซื้อให้ใหม่ ปล่อยให้ใส่ชุดเก่า ๆ ขาด ๆ จนโตเป็นสาว คุณแม่อายเพื่อน ๆ จนแทบ ไม่กล้าออกจากบ้านเลยครับ
พ่อใหญ่ส่งให้คุณแม่เรียนหนังสือแค่ ป.๔ จากนั้นก็ให้ออกจากโรงเรียนมาช่วยทำนา พ่อใหญ่เป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย ถ้าวันไหนไม่ กินเหล้าก็จะพูดดีกับคุณแม่ แต่ถ้าวันไหนไปเมามาก็จะเกรี้ยวกราดอาละวาดไล่ยิงคุณแม่เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ตกเย็นถ้ารู้ว่า พ่อใหญ่กินเหล้ามา คุณแม่จะวิ่งหลบไปอยู่ใต้ถุนบ้าน เพราะหากอยู่ใกล้ ๆ ก็จะถูก พ่อใหญ่คว้าแขน รวบผม แล้วลากไปเฆี่ยนตี ถ้าวันไหนน้ำเมาออกฤทธิ์เต็มที่ คุณแม่ไหวตัวทันก็จะรีบวิ่งขึ้นต้นไม้เพื่อหลบลูกกระสุน บุกป่าไผ่หนีหัวซุกหัวซุน บางครั้งก็วิ่งหนีไปหลบที่กองฟอนซึ่งเป็นที่เผาศพ รองเท้าก็ไม่ได้ใส่ กลัวผีก็กลัว แต่กลัวลูกกระสุนของพ่อใหญ่มากกว่า คุณแม่จึงต้องทนรอจนกระทั่งแน่ใจว่าพ่อใหญ่สร่างเมาจึงจะย่องกลับบ้าน
คุณแม่ทนทุกข์อยู่ในสภาพนี้เรื่อยมา ได้แต่คิดในใจว่าจะต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้ แล้ววันหนึ่งขณะที่คุณแม่อายุได้ ๑๕ ปี ท่าน ก็ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน โดยได้รับการ ช่วยเหลือจากคุณลุงท่านหนึ่งที่คุ้นเคยกัน ในช่วงที่คุณแม่ออกไปเลี้ยงควายในนา คุณลุงเห็นคุณแม่ถูกกดขี่ข่มเหงน้ำใจมานานก็นึกสงสารขึ้นมาจับใจ จึงออกอุบายช่วยแนะวิธีหนีออกมา โดยให้คุณแม่เอาเสื้อผ้าและข้าวของ ที่จำเป็นหอบใส่ถังไว้ แล้วทำทีว่าจะไปตักน้ำ พอสบโอกาสก็ให้วิ่งหนีไปตามทุ่งนา
แต่ปรากฏว่าวันนั้นแผนแตก เพราะ คุณแม่เผลอไปเล่าเรื่องที่จะหนีให้เพื่อนสนิทฟังพ่อใหญ่กับพวกญาติ ๆ รู้เข้า จึงวิ่งตามคุณแม่มาอย่างกระชั้นชิด วิ่งไล่กวดมาจนเห็นหลังกันไว ๆ คุณแม่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ในที่สุดก็หนีพ้นมาได้อย่างหวุดหวิด คุณลุงท่านนั้นมารอรับคุณแม่ในตัวเมือง แล้วพาคุณแม่ไปสมัครทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านคหบดีท่านหนึ่ง คุณแม่อดทนทำงานอยู่ที่นั่นไม่กี่ปีก็สามารถ เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง จึงตัดสินใจไปหาลู่ทาง ทำมาหากินที่กรุงเทพฯ โดยเริ่มต้นด้วย การเรียนตัดเสื้อ
หลังจากเข้ากรุงได้แค่ไม่กี่วัน คุณแม่ กับเพื่อนสองคนก็พากันออกไปเที่ยวงาน วันลอยกระทงที่เขาดิน คุณแม่หยิบกระทงมาอธิษฐานแล้วค่อย ๆ หย่อนลงที่ท่าน้ำพร้อมกับกระทงของเพื่อน ๆ กระทงของเพื่อนๆ ลอยห่างจากท่าน้ำไปเรื่อย ๆ แต่กระทงของคุณแม่ลอยไปข้างหน้าได้หน่อยหนึ่ง แล้วลอยวนกลับมาหยุดอยู่กับที่จนคุณแม่แปลกใจ จึงเฝ้ารออยู่ว่าเมื่อไรกระทงจะลอยไปสักที
ผ่านไปสักครู่หนึ่งก็มีหญิงวัยกลางคนจูงมือเด็กผู้หญิงมายืนบังด้านหน้าคุณแม่ไว้ คุณแม่นึกในใจว่า ทำไมหน้าตาของเธอช่างเหมือนกับคุณแม่ที่จากไปนาน จึงลองเข้าไปสะกิดถามว่า “น้าจ๊ะ น้าชื่ออะไร”
หญิงวัยกลางคนก็ตอบว่า “ชื่อน้อย” คุณแม่ถอนหายใจเพราะคิดว่าทักผิดคน
หญิงคนนั้นจึงถามกลับมาว่า “อ้าว...แล้วถามทำไมล่ะ”
คุณแม่จึงบอกว่า “คิดว่าเป็นคนรู้จัก ที่ชื่อสร้อย”
ผู้หญิงคนนั้นจึงเล่าว่าเมื่อก่อนเธอก็ ชื่อสร้อยเหมือนกัน แต่พอมาได้สามีใหม่ก็เลยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “น้อย” แล้วถามกลับว่า “แล้วหนูชื่ออะไรล่ะ”
คุณแม่บอกชื่อและเล่าเหตุการณ์ที่ ถูกแม่ทิ้งเมื่อสมัยเป็นเด็ก ยังไม่ทันจะเล่าจบ หญิงคนนั้นก็คว้าแขนคุณแม่เข้ามาใกล้ ๆ อุทานขึ้นมาเสียงดังว่า “งั้นหนูก็ลูกฉันน่ะสิ”
ในที่สุดคุณแม่ก็ได้มาพบกับแม่แท้ ๆ โดยบังเอิญในคืนวันลอยกระทงนั่นเอง ทั้งสองท่านมีความสุขมากที่ได้เจอกันอีกครั้งหลังจากพลัดพรากกันมานานกว่า ๑๕ ปี
แม้ว่าคุณยายจะทิ้งคุณแม่ไปโดยไม่ได้เลี้ยงดูเลย แต่เมื่อได้มาเจอกัน คุณแม่ของผมก็ตั้งใจดูแลคุณยายอย่างดี หมั่นไปเยี่ยม คุณยายที่บ้านสามีใหม่ทุก ๆ เดือน พร้อมกับมอบเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ให้ท่านใช้สอย และเมื่อคุณยายป่วยก็รับมาดูแลที่บ้านโดยที่ไม่เคยโกรธเคืองเลย พยายามทำหน้าที่ลูกที่ดีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ตัวผมเอง เข้าวัดครั้งแรกตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๐ ช่วงแรกยอมรับว่าผมยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเป้าหมายชีวิตมากนัก ทุกครั้งที่ทำบุญ จึงทำแบบไร้จุดหมาย ทำแล้วก็มักอธิษฐาน ขอให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง มีความสุขในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นบุญก็ยังส่งผลเป็นอัศจรรย์ เพราะสังเกตว่าชีวิตของผมดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดทั้งในด้านการศึกษาและหน้าที่การงาน ทั้งที่ก่อนเข้าวัดชีวิตผมไม่ค่อยจะราบรื่นสักเท่าไร
หลายปีที่ผ่านมา ผมสามารถคว้าปริญญาโทมาได้ถึง ๒ ใบ โดยสำเร็จปริญญาโทเกียรตินิยมด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จากนิด้า ต่อมาก็คว้าปริญญาโทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจากประเทศออสเตรเลีย ขณะที่เรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมสามารถทำเกรดเทอมแรกได้ระดับยอดเยี่ยม A+ ทุกวิชา ทางมหาวิทยาลัยจึงจ้างให้ผมทำหน้าที่เป็น Marker คอยตรวจข้อสอบและการบ้านของนักศึกษา ผมจึงได้รับค่าตอบแทนมากพอที่จะส่งตัวเอง ให้เรียนจบมาได้อย่างสบาย ๆ
หลังจากกลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นาน ก็เหมือนบุญจัดสรรทำให้ผมได้เข้าทำงานในบริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย รายได้ดีมาก โดยที่ผมไม่ต้องออกไปเร่ขายประกันให้เหนื่อยเลย
ผมตระหนักดีว่า ความสำเร็จทั้งหมดนี้เป็นเพราะอานุภาพบุญที่ทำถูกเนื้อนาบุญ ดังนั้นทุกครั้งที่หลวงพ่อมีบุญใหญ่มาให้ลูก ๆ ผมจึงทุ่มเททำอย่างเต็มที่เต็มกำลัง อย่างน้อยที่สุดก็ 1S ครับ
ดังนั้น สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดในชีวิตจึงไม่ใช่การได้ปริญญาโท ๒ ใบ หรือความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่สิ่งสำคัญก็คือ ผมโชคดีที่ได้มาเข้าใจหลักวิชาที่จะอยู่ในวัฏฏะอย่างปลอดภัยและมีความสุข ได้เกิดมาสร้างบารมีกับพระเดช-พระคุณหลวงพ่อและหมู่คณะ และมีเป้าหมายจะตามติดไปจนถึงที่สุดแห่งธรรมครับ
รายละเอียดการทำบุญ
ผมปลื้มใจในการเป็นประธานรอง กฐินพระราชฯ ปี ๒๕๔๕ ถึง ๒ กอง โดยตัดใจเบิกเงินเดือนที่ติดบัญชีอยู่ในจำนวนนั้นพอดี ถึงแม้ว่าขณะนั้นผมยังไม่มีบ้านหรือรถ ยังไม่มีความมั่นคงในชีวิต แต่ผมก็จะนึกถึงเรื่องบุญ มาเป็นอันดับหนึ่งทุกครั้ง เรื่องอื่นไม่จำเป็นครับ ขอให้ได้สร้างบุญทุกบุญอย่างเต็มกำลังและ ให้เกิดปีติให้มากที่สุด
อีกทั้งในปี ๒๕๔๖ ผมก็มีโอกาสได้เป็นประธานรองอีกครั้งหนึ่ง ได้ร่วมขบวนอัญเชิญผ้าไตร ซึ่งเป็นบุญที่จะติดตาติดใจผมไปถึงบั้นปลายสุดท้ายของชีวิตครับ
ผมยิ่งคิดก็ยิ่งปลื้ม ทุกบาททุกสตางค์ ที่ทำบุญเป็นเงินที่บริสุทธิ์หามาได้ด้วยความรู้ความสามารถของผม บางคืนผมไม่ได้นอนทั้งคืนต้องอยู่ทำงาน คอยเฝ้าว่าจะเกิดปัญหาขึ้น หรือไม่
การทำบุญของผมจะปิดบัญชีเงินเดือนเกือบทุกครั้งที่ทำ บางครั้งเงินไม่พอ ผมจะตั้งปณิธานเอาไว้ก่อนว่าต้องทำให้ได้ เช่น สร้างองค์พระ ๓๐๐,๐๐๐ องค์ องค์ละ ๑ บาท ขณะนั้นในบัญชีเงินเดือนของผมมีเงินเพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท ผมตั้งใจตั้งแต่แรกว่าอย่างไร ก็ต้องให้ได้ 3S เพื่อบูชาธรรมพระเดชพระคุณ-หลวงพ่อให้ได้ ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ “ชิตัง เม” ครับ
การทำบุญอย่างสุดกำลังของผม ซึ่งแลกกับเม็ดเงินที่หามาด้วยสติปัญญา แรงกาย และความคิด ทำให้ผมปลื้มปีติในทุกบุญที่ผมตรึกระลึกถึง
หลังจากส่งคำถามไปกราบเรียนถามคุณครูไม่ใหญ่แล้ว
ก็มีคำตอบจากโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาดังนี้
๑. ในวัยเด็กแม่ลำบากมาก ต้องทนอยู่กับครอบครัวพ่อใหญ่อย่างไม่มีความสุข ถูกกดขี่ข่มเหงและถูกเอารัดเอาเปรียบ เพราะกรรมในอดีตแม่เกิดเป็นเศรษฐินีมีทรัพย์มาก แต่มีความตระหนี่ในช่วงที่ยังไม่เจอหมู่คณะ
๒. และชอบข่มขี่ข้าทาสบริวารจึงทำให้วิบากกรรมอื่น ๆ เข้ามาแทรกได้ จึงต้องมาเกิดในครอบครัวที่ลำบากและถูกฝากให้เขาเลี้ยงและมาโดนเขาทำบ้าง
๓. ภายหลังหนีมาตั้งตัวได้สำเร็จ ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบุญเก่าที่เคยทำเอาไว้ โดยเฉพาะกับหมู่คณะได้ตามมาส่งผล
๔. คุณแม่ถูกคุณยายทิ้งไปด้วยความจำเป็น เพราะกรรมอีกชาติหนึ่งเกิดมายากจน มีความจำเป็นที่จะต้องเอาลูกไปฝากคนอื่นเลี้ยงและไม่ได้กลับไปดูแล
๕. กับกรรมอีกชาติหนึ่งที่หนีออกจากบ้านเพื่อเรียนรู้โลก ใครห้ามก็ไม่เชื่อ ทำให้ พ่อแม่เสียใจ แต่ภายหลังกลับมาพร้อมเอาเงิน เอาทองมาเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างดี วิบากกรรม ทั้ง ๒ ชาตินี้ตามมาส่งผล
๖. คุณแม่ได้มาเจอคุณแม่ที่แท้จริงหรือคุณยายโดยบังเอิญ เพราะบุญที่ได้กลับมา เลี้ยงดูบิดามารดาในชาติที่หนีออกจากบ้านไปเพื่อเรียนรู้โลกโดยที่พ่อแม่ห้ามไม่ฟังดังกล่าว มาส่งผล
๗. กระทงของคุณแม่ลอยวนกลับมาแล้วหยุดกับที่นั้นก็เป็นเรื่องบุญที่กลับมาเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นอย่างดีในชาติที่หนีออกจากบ้านบันดาลให้เกิดขึ้น
๘. คุณแม่เลี้ยงดูคุณยายโดยไม่เคยโกรธเคืองที่คุณยายทิ้งไปตั้งแต่เด็ก ท่านก็จะมีอานิสงส์ทำให้ต่อไปจะมีคนเลี้ยงดูช่วยเหลืออย่างดี มีลูก ๆ ก็จะกตัญญูรู้คุณ มาคอยดูแลเป็นอย่างดี
๙. หลังจากแต่งงานใหม่ คุณแม่ทำแท้งเพราะไม่พร้อมจะมีลูก จะแก้ไขวิบากกรรม ก็ต้องลืมอดีตที่ผิดพลาดให้หมด แล้วสั่งสมบุญทุกบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ อีกทั้งต้องอธิษฐานจิตบ่อย ๆ ให้พ้นวิบากกรรมนี้
๑๐. เด็กตายแล้วก็ไปเกิดใหม่และไปโดนทำแท้งมาหลายรอบแล้วด้วยวิบากกรรม ที่เคยทำแท้งมาในอดีตมาส่งผล จึงไม่อาจรับบุญได้
๑๑. ลูกประสบความสำเร็จอย่างง่ายดายในทุกด้าน เพราะในอดีตเมื่อทำบุญ ทุกครั้งก็จะอธิษฐานให้ชีวิตประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย กับมีอุปนิสัยทำบุญอย่างง่าย ๆ
๑๒. การที่ลูกทำบุญอย่างสุดกำลัง เพราะในอดีตก็มีอัธยาศัยทุ่มเททำบุญอย่างนี้ติดตัวมา
๑๓. ลูกอยากจะมีชีวิตเพียบพร้อมเหมือนมหาเศรษฐีในสมัยพุทธกาล ลูกก็จะต้องทำบุญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วอธิษฐานจิตกำกับเอาไว้ให้ได้เป็นไปตามความปรารถนา
๑๔. ลูกมีศาสตราจารย์ ๓ ท่าน ที่ออสเตรเลียช่วยเหลือเรื่องงานและการเรียน เพราะลูกมีบุญที่เคยสงเคราะห์ญาติในอดีต และเคยช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์มาส่งผล อีกทั้งในชาติไกล ๆ ที่ผ่านมาก็เคยเป็นญาติ กันมา
๑๕. เหตุที่มีความสนใจเรื่องสารสนเทศเหมือนกันเป็นเหตุในปัจจุบันที่เป็นไปตาม ยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยี
๑๖. ตอนอายุ ๕ ขวบ เคยถูกสุนัขบ้ากัดที่แขนด้านซ้ายมือจนต้องถูกฉีดยารอบสะดือ ๒๑ เข็ม เพราะในอดีตชอบฆ่าสุนัขเป็นกับแกล้มสุราแบบเปิบพิสดารร่วมกับเพื่อนนาน ๆ ครั้งมาส่งผล เนื่องจากเป็นกรรมไม่หนักจึงรักษาได้
๑๗. ส่วนคนที่ทำแบบนี้เป็นอาจิณก็จะรักษาไม่ทัน แล้วจะมีอาการของโรคที่เห่าหอนคล้ายสุนัขและคลุ้มคลั่งด้วยกรรมเปิบพิสดาร ฆ่าสุนัขเป็นกับแกล้มสุรา
๑๘. ลูกเคยเป็นหอบหืด แม้อาการจะหายไปแล้วแต่ยังต้องหายใจทางปาก เพราะกรรมในอดีตที่ลูกเกิดในสังคมเกษตรกรรมได้ใช้แรงงานสัตว์มาก ทั้งวัว ควาย ม้า และบางครั้งก็ดูแลสัตว์ไม่ดีมาส่งผล แม้กรรมจะเบาบาง ไปแล้วแต่ก็ยังไม่หมดกรรม
๑๙. จะแก้ไขก็ต้องปล่อยสัตว์ใหญ่ บ่อย ๆ และทำบุญทุกบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้สัตว์ทั้งหลายที่เราเคยไปล่วงเกินเบียดเบียนเขาไว้
๒๐. ลูกต้องปรับการใช้ชีวิตหน่อย คือ ต้องออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ดื่มน้ำให้ เพียงพอ ทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ พักผ่อนให้เพียงพอก็จะดีขึ้น
๒๑. ลูกรื้อผังจนไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ให้ทำบุญต่อไปจนกว่าจะถึงเป้าที่ลูกตั้งใจจะเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญเหมือนสมัยพุทธกาล
๒๒. ลูกมีรายได้ดี เพราะทำทานมาดี แต่ตำแหน่งงานไม่สูง เพราะขาดจิตมุทิตา คือ พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นประสบความสำเร็จ
๒๓. ลูกและคุณแม่เป็นกองเสบียงของหมู่คณะมา เมื่อทำบุญทุกบุญแล้วให้อธิษฐานจิตตามติดไปดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ อย่าได้พลัดกันเลย