บทความน่าอ่าน
เรื่อง : Tipitaka (DTP)
ลายรดน้ำ วิถีธรรม วิถีไทย
ตู้ใหญ่ใบโตโอฬาร | เขียนลายรดสนาน |
เปนเรื่องพระพุทธโฆษา | |
เมื่อเสด็จไปเมืองลังกา | โดยสานนาวา |
กำปั่นของพวกพานิช | |
ท่านไปแปลคำสังสกฤต | เปนมคธภาสิต |
สำเร็จนิวัติคืนคลา | |
ในตู้เต็มพุทธฎีกา | ทั้งอรรถกถา |
โยชนาก็มีมากหลาย |
ตอนหนึ่งของฉันท์จากหนังสือฉันท์ชมกุฎี และกาพย์ฉบังเบ็ดเตล็ด พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ บรรยายถึงลวดลายรดน้ำบนตู้พระไตรปิฎกที่เก็บรักษาไว้ภายในกุฏิของพระเถระรูปหนึ่ง ณ วัดอรุณราชวราราม วาดเรื่องพระพุทธโฆษาจารย์ลงเรือพ่อค้าวานิชออกเดินทางไปยังลังกาทวีป เพื่อแปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาสันนิษฐานว่าแต่งโดยพระมหาห่วง วัดมหาธาตุ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบทประพันธ์นี้แสดงให้เห็นธรรมเนียมการตกแต่งตู้พระไตรปิฎกด้วยศิลปะลวดลายรดน้ำ เพื่อบันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญในอดีต
ลายเส้นสีทองของลายรดน้ำเป็นงานศิลปะชั้นสูง ที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญของช่างศิลป์ที่รู้จักนำเอาวัสดุบริสุทธิ์สูงค่า คือแผ่นทองคำเปลวมาผสมผสานกระบวนการอันซับซ้อนละเอียดอ่อนของงานประณีตศิลป์ เพื่อประดับตกแต่งฝาผนังตู้พระไตรปิฎกทั้งด้านหน้าบานประตู และด้านข้างตู้ซ้ายขวา เริ่มตั้งแต่การเตรียมพื้นผิวให้เรียบ ทาด้วยรัก ขัดผิวเขียนลวดลายลงพื้นรักด้วยหรดาลในส่วนที่ไม่ต้องการปิดทอง ปิดด้วยทองคำเปลวจนเต็มพื้นที่ และเสร็จสิ้นกระบวนการขั้นสุดท้ายด้วยการ “รดน้ำ” ล้างน้ำยาสีเหลืองของหรดาลออกทองคำเปลวที่ปิดทับหรดาลจะละลายน้ำหลุดออกไป ปรากฏเฉพาะลวดลายในส่วนที่ทองคำเปลวติดอยู่บนตัวพื้นรักเท่านั้น คำว่า “ลายรดน้ำ” จึงมีที่มาจากขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างสรรค์ผลงานประณีตศิลป์นี้เอง
ขั้นตอนการออกแบบลวดลายและการจัดองค์ประกอบให้สมดุลถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังที่อาจารย์ศิลป์ พีระศรี วิเคราะห์ไว้ว่า “...จะต้องมีความถ่วงกันอย่างพอดีของความอ่อนและแก่ อันบังเกิดจากสีดำของยางรักและความสว่างของทองคำเปลว หากความอ่อนและแก่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งข่มกันมากเกินไป ก็จะบังเกิดความขัดแย้งไม่ประสานกันขึ้น...”
ลายกระหนกเป็นรูปแบบลายของศิลปะไทยชั้นสูงที่ช่างฝีมือนิยมใช้ในศิลปะลายรดน้ำ ที่พบมากเป็นลายกระหนกเปลวไฟ มีเส้นสายอ่อนพลิ้วไหว ปลายสะบัดละม้ายคล้ายเปลวไฟหรือเป็นลวดลายที่ช่างฝีมือดัดแปลงจากธรรมชาติรอบตัว เช่น รวงข้าวและทรงของฝ้ายเทศ ก่อเกิดเป็นลายกระหนกรวงข้าวหรือลายกระหนกใบเทศอันงดงาม สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพันแน่นแฟ้นอยู่กับสังคมเกษตรกรรมมาอย่างช้านาน หรือบางครั้งช่างศิลป์ก็ผูกลวดลายเป็นกระหนกเคล้าภาพ คือ ผูกเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น กระรอก นก ผีเสื้อเกาะหรือไต่ไปตามกิ่งก้านของกระหนกด้วยอากัปกิริยาการเคลื่อนไหวที่สอดผสานอย่างกลมกลืนกับลายประดิษฐ์ ความสร้างสรรค์และอัจฉริยภาพในการประดิษฐ์ลวดลายไทยที่มีเอกลักษณ์ของครูช่างไทยในอดีตปรากฏในคำไหว้ครูช่างดังนี้
ผูกลายขดแย่งเวียดวัล | หางโตบิดผัน |
นกคาบในคลองเปลวปลาย | |
เครือเทศกุดั่นหลากหลาย | พลิกแพลงเยื้องกราย |
เปนอย่างฝรั่งจีนจาม | |
ซ้อนซับก้านเกี้ยวเงื่อนงาม | ขดไขว้เลื้อยลาม |
ด้วยลูกแลดอกอัดแอ | |
ลักพื้นโปร่งร่วงรวนแร | แฉกเพราเลิศแล |
วิจิตรแนบเนียนทำ ฯ |
(ประชุมหนังสือเก่า ภาคที่ ๑-๒, ๒๕๕๒ : ๑๗)
ภาพพุทธประวัติตอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ภาพลายรดน้ำบนตู้พระไตรปิฎกมักผูกเป็นลวดลายจนเต็มพื้นที่และมี “แม่ลาย” หรือภาพหลัก บ้างเป็นภาพบุคคลที่ไม่ได้เขียนเป็นเรื่องราว เช่น เทวดา ทวารบาล บ้างเป็นภาพบอกเล่าเรื่องราวจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาและเรื่องจากวรรณคดีและนิทานพื้นบ้าน ในส่วนที่เป็นเรื่องราวจากคัมภีร์พระพุทธศาสนานั้น นิยมเขียนเป็นภาพพุทธประวัติและชาดกมีทั้งชาดกที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก เช่น ทศชาติชาดก และชาดกนอกนิบาต หมายถึง ชาดกที่ไม่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก ได้แก่ ปัญญาสชาดก ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พระภิกษุชาว
เชียงใหม่ได้รวบรวมนิทานไทยพื้นบ้านมาแต่งเป็นชาดก เพื่อสอนพระพุทธศาสนาให้แก่คนไทยเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ภาพพุทธประวัติตอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาในสรวงสวรรค์
เรื่องจากวรรณคดีและนิทานที่เกี่ยวเนื่องด้วยคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่นิยมนำมาวาดประดับตู้พระไตรปิฎก อาทิเช่น เรื่องจากคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง วรรณคดีพุทธศาสนาที่แต่งโดยพระราชดำริในพระยาลิไท สมัยสุโขทัย เนื้อหากล่าวถึงโลกสัณฐาน แบ่งเป็น ๓ ส่วน หรือไตรภูมิ ได้แก่ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ มุ่งสอนให้คนรู้จักบาปบุญคุณโทษ นรก สวรรค์ลายรดน้ำปรากฏเปน็ ภาพเขาพระสุเมรุ เทวดาในสวรรค์ หรือภาพสัตว์ที่อาศัยในป่าหิมพานต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวจากวรรณคดีชั้นสูง ที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนบุคคลชั้นสูงมักให้ช่างวาดตกแต่งตู้พระไตรปิฎกถวายวัด ประดิษฐานไว้ตามอารามสำคัญ ๆเพื่อเก็บรักษาคัมภีร์พระไตรปิฎกใบลาน หนึ่งในวรรณคดีที่แพร่หลาย คือ เรื่องรามเกียรติ์ ทั้งนี้ เพราะเป็นเรื่องที่คนไทยรู้จักกันดีมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา มีต้นเค้าจากวรรณคดีอินเดียเรื่องมหากาพยร์ ามายณะ ที่แพรเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ และมีการนำ ไปประพันธ์จนกลายเป็นวรรณคดีประจำชาติของหลายประเทศ ในส่วนของวรรณกรรมไทยนับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์มีบทประพันธ์ที่มีต้นเค้าจากเรื่องรามายณะ
ถึง ๑๐ สำนวน แต่บทละครเรื่องรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นสำนวนที่มีความสมบูรณ์และเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากกว่าฉบับอื่นลวดลายบนตู้พระไตรปิฎกปรากฏเรื่องราวตอนสำคัญ ๆ ของเนื้อเรื่อง อาทิ ภาพการรบระหว่างกองทัพพระรามกับฝ่ายกองทัพยักษ์ หรือ “ภาพจับ” ซึ่งเป็นภาพการต่อสู้เป็นคู่ ๆ เป็นต้น
ลายรดน้ำเรื่องรามเกียรติ์ ตอนยกรบฝ่ายลงกาและฝ่ายพลับพลา
พื้นรักสีดำขับลวดลายเส้นสีทองให้เด่นชัดอย่างลงตัวฉันใด วิถีแห่งไทยก็เด่นชัดขึ้นด้วยวิถีแห่งธรรมฉันนั้น พระพุทธศาสนาอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรม ประเพณี คติความเชื่อ ที่หล่อหลอมเข้าเป็นเอกลักษณ์ของชาติ แม้วิถีแห่งไทยในปัจจุบันอาจแปรเปลี่ยนรูปแบบไปตามความก้าวหน้าของยุคสมัย แต่วิถีแห่งธรรมยังเป็นสิ่งเกื้อหนุนประคับประคองความเป็นปึกแผ่นและยังความภาคภูมิใจให้ไทยเป็นไทยจวบจนวันนี้ และวิถีแห่งไทยคงจะร่มเย็นสงบสุขขึ้น หากคนไทยหันมาใส่ใจกับวิถีแห่งธรรมให้กลับมาเฟื่องฟูในจิตใจเหมือนยุคบรรพบุรุษแล้วภาพประวัติศาสตร์เล่าเรื่องราวของเราในวันนี้ที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่แผ่นดินจะแจ่มชัด และเป็นที่ชื่นชมอนุโมทนาของคนไทยรุ่น ถัดไป แต่หากเราละเลยวิถีแห่งธรรมอันถูกต้องดีงามแล้วไซร้ ต่อไปภายภาคหน้าวิถีแห่งไทยก็คงจะหมดไป แล้วเอกลักษณ์ของชาติไทยจะเหลืออะไรไว้บนแผ่นดิน
บุญเตือน ศรีวรพจน์. รามเกียรติ์จากตู้ลายรดน้ำ. กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๕๕.
ศิลป์ พีระศรี. เรื่องตู้ลายรดน้ำ. พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๐๓.
อภิวันทน์ อดุลยพิเชฏฐ์. ลายรดน้ำ. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๕๕.