สัมภาษณ์พิเศษ
เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
เผยความลับของงานนิทรรศการ
Idols ๑๔ สามเณรอรหันต์
งานนิทรรศการสามเณรเป็นอย่างไร ?
ทำไมต้องจัด ? จัดกันขนาดนี้..เล่นใหญ่ไปไหม ?
และถ้าไม่ได้มาดูจะเกิดอะไรขึ้นไหม ?
ถ้าคำถามทำนองนี้เกิดขึ้นกับคุณ
จำเป็นแล้วล่ะ..ที่คุณจะต้องอ่านคอลัมน์นี้ทันที !
จากคำถามหลายประเด็นที่ทางบ้านถามมา ทำให้ทางทีมงานต้องรีบกราบเรียนเพื่อขอสัมภาษณ์พระอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ซึ่งท่านเป็นผู้จัดการโครงงานนิทรรศการสามเณรที่จัดแสดง ณ วัดพระธรรมกาย ในช่วงจัดอบรมสามเณรในโครงการบรรพชาสามเณรฟื้นฟูพระพุทธศาสนาทั่วไทย ปัจจุบันท่านเป็นหัวหน้ากองนฤมิตศิลป์ สถาบันพุทธศิลป์แห่งโลกซึ่งก็คือ พระศิริพงษ์ สิริวํโส
ส่วนความลับงานนิทรรศการที่ถูกเปิดเผยขึ้นจะมีเรื่องราวเป็นอย่างไรติดตามได้ ณ บัดนี้
การจัดนิทรรศการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไรคะ ?
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำความดีแก่สามเณรที่เข้าบรรพชาในโครงการทั้งหมดเพราะการที่ใครสักคนเกิดอยากจะทำความดี คน ๆ นั้นต้องเจอต้นแบบหรือไอดอล (Idol) ที่ถูกใจ จากนั้นก็เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ซึ่งไอดอลที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกของชาวพุทธก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่เนื่องจากสามเณรยังอยู่ในวัยเด็ก ฉะนั้น…เพื่อให้ใกล้ตัวสามเณรที่สุด เนื้อหาของนิทรรศการจึงนำเสนอเรื่องราวของสามเณรอรหันต์ในสมัยพุทธกาลทั้ง ๑๔ องค์ ซึ่งแต่ละองค์ล้วนมีความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมที่โดดเด่นสูงส่ง จนสามารถบรรลุอรหันต์ได้ ทั้ง ๆ ที่ยังเด็กอยู่ ซึ่งเรื่องราวนี้เอง จะไปจุดประกายความคิดให้สามเณรว่า แม้ยังเด็กก็สามารถปฏิบัติตัวให้บรรลุธรรมได้ ดังสามเณรอรหันต์หลาย ๆ องค์
ที่สำคัญ การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ ยังมีวัตถุประสงค์ให้สามเณรได้ศึกษาศีลธรรม สอนให้สามเณรรู้ดี ชั่ว ถูก ผิด รู้ว่าสิ่งไหนบุญ สิ่งไหนบาป สิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ เพราะบางครั้งด้วยความเป็นพ่อแม่ เวลาเราสอนลูก ลูกจะไม่ยอมฟัง แถมเกิดการต่อต้าน เพราะไม่เข้าใจถึงโทษภัยที่จะเกิดกับตัวเองจริง ๆ แต่ถ้าเรามีสื่อ การสอนที่ทำให้เด็กเข้าใจง่ายสนุก ตื่นเต้น เด็กจะยอมรับได้ง่าย จนเกิดแรงบันดาลใจในการทำความดีที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
จัดนิทรรศการใหญ่โตขนาดนี้ถือว่าเล่นใหญ่หรือโอเวอร์ไปไหมคะ ?
ให้ลองคิดดูเถิดว่า ถ้าเราจะรองรับคนมาดูนิทรรศการจำนวนมากกว่า ๑๐,๐๐๐ คน เราต้องจัดนิทรรศการใหญ่ขนาดไหน ต้องใช้พื้นที่เท่าไร และต้องเตรียมการอย่างไรถึงจะรองรับได้ หากได้คำนวณดูแล้วจริง ๆ จะพบว่า เป็นโจทย์ที่ยากมากที่จะรองรับคนขนาดนั้น !!!
การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ก็เช่นกัน บางคนอาจมาดูเผิน ๆ ตอนสามเณร ๑๐,๐๐๐ รูป ยังไม่มา ก็เลยเกิดความรู้สึกว่ามันใหญ่โตเกินไป แต่ถ้าเราเทียบกับการใช้งานจริงแล้ว มันเล็กไปด้วยซ้ำ เพราะเอาเข้าจริง ๆ งานนิทรรศการสามารถรองรับผู้ชมต่อรอบได้เพียง ๘๐๐ คน เท่านั้น ซึ่งกว่าที่สามเณร ๑๐,๐๐๐ รูป จะดูนิทรรศการครบ ก็ต้องใช้เวลานานหลายวันมาก ๆ
รูปแบบและเนื้อหางานนิทรรศการเป็นอย่างไร ทำยากไหมคะ ?
ในการจัดแสดงนิทรรศการจะแบ่งเป็น ๘ ห้อง แต่ละห้องใช้เวลาในการชมประมาณ ๑๐ นาที ซึ่งแต่ละห้องสามารถจุผู้เข้าชมได้แค่ ๑๐๐ คน รวมแล้วต่อรอบก็จะรองรับคนเข้าชมได้สูงสุดประมาณ ๘๐๐ คนเท่านั้น
ส่วนเนื้อหาในแต่ละห้องจะมีความพิเศษที่ไม่เหมือนกัน ห้องแรกจะเล่าถึงต้นแบบทางโลก ห้องที่ ๒ คือห้องตรัสรู้ธรรม ห้องที่ ๓ คือห้องทศชาติชาดก ส่วนห้องที่ ๔-๗ คือห้องเล่าเรื่องสามเณรอรหันต์ทั้ง ๑๔ องค์และสุดท้ายห้องที่ ๘ เป็นห้องบันทึกลูกผู้ชาย
นอกเหนือจากการดูนิทรรศการแล้ว สามเณรทุกรูปก็จะได้เข้าชมภาพยนตร์แอนิเมชัน ๓ มิติ เรื่องสามเณรอรหันต์ทั้ง ๑๔ องค์ ที่มีแสง สี เสียง ที่เสมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ในห้องแก้วสารพัดนึก ณ สภาธรรมกายสากล ซึ่งห้องนี้ สามารถจุผู้เข้าชมได้เป็นจำนวนมากต่อรอบ
ส่วนเนื้อหาจะตื่นเต้น น่าติดตามและน่าสนใจขนาดไหน ก็ต้องมาติดตามกัน เพราะการทำภาพยนตร์เรื่องสามเณรอรหันต์ทั้ง ๑๔ องค์ ในรูปแบบ ๓ มิติ ถือเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งไม่ได้ทำกันง่าย ๆ เลย เพราะต้องลงทุน ลงแรง ใช้ทีมงานที่ทำเยอะมาก แต่ทางทีมงานทุกคนก็ทุ่มเท อดหลับอดนอน ทำกันอย่างดีที่สุด เพื่อให้สามเณรได้สาระ ได้ประโยชน์และได้สิ่งที่ดีที่สุดกลับไปจริง ๆ
มีช่วงเวลาหรือกำหนดการในการจัดนิทรรศการอย่างไรคะ ?
สามเณรสามารถเข้าชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม - ๓๐ เมษายนนี้ โดยมีการจัดแสดงทั้งในรอบเช้าและรอบบ่ายใช้เวลาในการเข้าชมต่อรอบ ๘๐-๙๐ นาที
ถ้าสาธุชนทั่วไปสนใจอยากเข้าชมนิทรรศการหรือชมภาพยนตร์ ๓ มิติ เรื่องสามเณรอรหันต์ทั้ง ๑๔ องค์บ้าง จะมีโอกาสไหมคะ ?
การจัดนิทรรศการครั้งนี้ มุ่งเน้นให้สามเณรดูเป็นหลัก แต่เนื่องจากมีสาธุชนให้ความสนใจอยากดูด้วยมากจริง ๆ ฉะนั้นจึงเปิดรอบสาธุชนด้วย ซึ่งสามารถเข้าชมได้ตามวัน เวลาที่ได้แจ้งประชาสัมพันธ์ไปแล้วหรือสอบถามรายละเอียดจากผู้ประสานงานที่สังกัดก็ได้
การให้สามเณรดูภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสามเณรอรหันต์ ถือว่าผิดศีล ๑๐ ไหมคะ ?
การจะผิดศีลข้อนี้ได้ สิ่งที่ดูนั้น..ต้องเป็นข้าศึกต่อกุศลธรรม คือ ดูแล้วเกิดกิเลส โลภโกรธ หลง แต่สื่อเรื่องสามเณรอรหันต์ที่ให้สามเณรดูนี้ เป็นไปเพื่อดับกิเลส เพื่อเป็นพระอรหันต์ และมุ่งสู่นิพพานโดยตรง ซึ่งเราเรียกว่าสื่อธรรมะ ซึ่งไม่ถือว่าผิดศีลแต่อย่างใดอีกทั้งยังเป็นสื่อที่ควรดูอย่างยิ่ง เพราะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่สำคัญเด็กสมัยนี้ให้ความสนใจธรรมะน้อย ดังนั้นการผลิตสื่อสีขาวอย่างนี้ออกมา ถือเป็นการดีมากด้วยซ้ำ เพราะจะทำให้เด็กหันมาสนใจธรรมะ เนื่องจากรู้สึกว่าธรรมะไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่ออีกต่อไป
ลองคิดดูเถิดว่า เด็กยุคนี้ วัยนี้ที่ได้มาบรรพชาสามเณรในโครงการนี้โชคดีขนาดไหนที่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องราวในพระไตรปิฎกจริง ๆ ตั้งแต่เยาว์วัย แล้วเกิดความประทับใจ เกิดแรงบันดาลใจ อยากเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติตาม
จำเป็นไหม..ที่ต้องพาลูกหลานมาบรรพชา ถ้าไม่มาจะเกิดผลเสียอะไรไหม ?
ในยุคปัจจุบันจะพบว่า ปัญหาของพ่อแม่ส่วนใหญ่มักทุกข์ใจที่ลูกสมาธิสั้น ไม่อดทนทำอะไรไม่ได้นาน ทำอะไรไม่เป็นนอกจากเล่นเกม ติดเกม ติดมือถือ จนภายหลังก็มีปัญหาด้านการเรียนตามมาอีกมากมาย หนำซ้ำพอโตขึ้น ก็ต้องมานั่งทุกข์ใจเรื่องลูกไปมีสามีหรือภรรยาในวัยเรียน ตลอดจนเรื่องการติดเพื่อน คบเพื่อนไม่ดี หรือใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยเกินตัว
ฉะนั้น การให้โอกาสลูกหลานที่เรารักเข้ามาบรรพชานี้ ถือเป็นการฉีดวัคซีน สร้างภูมิต้านทานให้เด็กที่ดีมาก ๆ เพราะบนโลกใบนี้ มีความรู้หลายอย่างที่เราอยากให้เด็กเรียนรู้ ซึ่งบางอย่างไม่รู้..ก็ไม่เป็นไร แต่บางอย่างถ้าเด็กไม่รู้ จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาในภายหลัง คือเขาจะพลาดไปสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญ เป็นบาป อะไรผิดหรือถูก และเมื่อเด็กพลาดทำลงไปแล้ว จะมีผลต่อเด็กทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้โอกาสลูกหลานได้มาศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเขาจะได้มีหลักในการดำเนินชีวิต มีศีลธรรม มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ และจะได้มีที่พึ่งภายใน จนสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไปได้อย่างมีความสุข
สุดท้ายนี้ ก็อยากจะบอกว่า ทางทีมงานทุกคนที่ทำนิทรรศการและภาพยนตร์ ๓ มิติ อยากให้สามเณรตลอดจนทุกคนที่ได้มาชมนิทรรศการและภาพยนตร์ ๓ มิติ ตั้งใจเก็บเกี่ยวสารประโยชน์ไปให้มากที่สุด เพราะสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับทุกคนที่เอาไปใช้ในการดำเนินชีวิตทั้งในภพนี้และภพหน้า เพราะคำสอนของพระพุทธองค์เป็นอกาลิโก คือ ไม่จำกัดกาลเวลา ซึ่งถ้าใครน้อมเอาไปปฏิบัติจริง ก็จะเกิดประโยชน์จริงแก่ผู้ปฏิบัติตราบกระทั่งหมดกิเลสเข้านิพพานหรือไปถึงที่สุดแห่งธรรม...