จากใจธรรมทายาท
เรื่อง : สิทธิวัฒน
บันทึกจากหัวใจลูกผู้ชาย
พระสิทธิ ธมฺมสิทฺโธ (ประสิทธิกุลวัฒน)
ธรรมทายาทพุทธศาสตร์สากล รุ่นที่ ๕
“เราเกิดมาทําไม ?” ผมรู้คําตอบของคําถามนี้ตั้งแต่เด็ก ๆ และเข้าใจเรื่องบุญ บาป รวมทั้งมโนปณิธานต่าง ๆ ของหลวงพ่อ แต่ผมเองก็ไม่ได้ซาบซึ้งกับสิ่งที่ผู้คนมากมายต่างแสวงหาขนาดนั้น ผมเพิ่งมาเข้าใจถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านี้จริง ๆ ในโครงการอุปสมบทหมู่ธรรมทายาทพุทธศาสตร์สากล และผมขอพูดจากใจว่า ผมไม่เคยเสียใจเลยที่เข้าอบรมในโครงการนี้
ผมเองเกิดในครอบครัวธรรมกาย เข้าวัดตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ โตมาในครอบครัวที่ปลูกฝังหลักธรรมคําสอนของพระพุทธศาสนาให้ผมตั้งแต่เด็ก อีกทั้งการมาวัดทุกวันอาทิตย์ต้นเดือนและวันงานบุญใหญ่ ทําให้ผมรู้สึกว่าการสร้างบุญเป็นเรื่องสําคัญ เป็นสิ่งที่ต้องทํา แต่พอผมโตขึ้นในช่วงชั้นมัธยมปลาย ผมต้องเรียน รด. ทุกวันอาทิตย์ บางครั้งต้องสอบตรงกับวันงานบุญใหญ่ ทําให้ขาดการทําบุญบูชาข้าวพระวันอาทิตย์ต้นเดือนและบุญใหญ่ไปหลายครั้ง ประกอบกับการที่ผมเริ่มเจอเพื่อนที่เป็นมิจฉาทิฐิเยอะขึ้น ผมก็เริ่มห่างจากคําสอนของหลวงพ่อ ทําให้ความเข้าใจและซาบซึ้งในคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้อยลง เริ่มห่างวัด ผมมาวัดตามที่ครอบครัวพามาเท่านั้น ตอนนั้นผมมีความคิดผิด ๆ และเชื่อมั่นในความพยายามของตัวเองเพียงอย่างเดียว คือ “หนึ่งสมอง สองมือ” ผมตั้งใจอ่านหนังสือ เรียน ๆ ๆ อยากได้ความรู้ อยากมีความสามารถมาก ๆ ในอนาคตจะได้เอาความรู้ไปใช้หาเงินเยอะ ๆ จนแทบลืมนึกถึงความจริงที่ว่า “บุญคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสุขและความสําเร็จ”
ในตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยความรู้และความตั้งใจ ณ ตอนนั้น ทําให้ผมสามารถสอบเข้าไปได้ แต่ผมอยากได้ทุนสูงสุดของมหาวิทยาลัยด้วย (เรียนฟรีทั้งหลักสูตรและมีเงินเดือนให้) จะได้ไม่เป็นภาระของพ่อแม่และเป็นประวัติที่ดีของตัวผมเอง
ตอนนั้น ผมตั้งใจเข้าเรียนหลักสูตรนานาชาติของภาควิชา ซึ่งค่าเล่าเรียนตลอดหลักสูตรประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ผมเคยลองไปสอบถามเพื่อสมัครสอบสัมภาษณ์ แต่เนื่องจากผมมีวุฒิการศึกษา ปวช. ไม่สามารถสมัครได้ เขาให้เฉพาะผู้ที่มีวุฒิ ม.๖ เท่านั้น ผมรู้สึกเสียดายมาก แต่ก็ไม่สามารถทําอะไรได้
หลังจากนั้น ผมจึงตัดใจไปบวช เพราะครอบครัวอยากให้ผมเข้ารับการอบรมธรรมทายาทก่อนเข้าเรียน
มหาวิทยาลัย นั้นคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของผม
ที่จริงแล้วผมไม่ได้อยากเข้าอบรมเลย แม้จะรู้ว่ามันดีต่อตัวเราขนาดไหนก็ตาม ผมคิดว่าเข้าไปแล้วคงลําบาก ไม่มีโทรศัพท์ใช้ ติดต่อใครก็ไม่ได้ ไม่ได้แตะเทคโนโลยีเลย ใช้แค่ปากกากับหนังสือเท่านั้น สําหรับเด็กยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเป็นเหมือนอวัยวะที่ ๓๓ มันเป็นอะไรที่แย่ ข้าวของหลาย ๆ อย่างก็ต้องใช้เหมือน ๆ กัน เพื่อฝึกความเป็นระเบียบและยังมีกฎระเบียบอะไรอื่น ๆ อีก
ผมใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถึงจะเริ่มชินกับการใช้ชีวิตธรรมทายาทในช่วงนั้น ผมมีความสุขอยู่กับไม่กี่อย่าง เช่น การฟังธรรมจากพระอาจารย์ ซึ่งทําให้มีโอกาสศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมจักรวาลวิทยา มารยาทชาวพุทธ ประวัติความเป็นมาของมหาปูชนียาจารย์ ฯลฯ
การฝึกตัวภายใต้การดูแลจากพระพี่เลี้ยงและพระอาจารย์ทําให้ใจผมละเอียดขึ้น มีการรับรู้และซาบซึ้งในธรรมะเพิ่มขึ้น เวลาในโครงการผ่านไปจนกระทั่งจบโครงการ
ในช่วงนั้นผมได้รับโทรศัพท์คืนและได้เช็กอีเมล ซึ่งทําให้ผมตกใจและงงมาก ๆ คือ มีอีเมลจากกองกิจการนักศึกษาส่งมาว่า ผมได้ทุนสูงสุดของมหาวิทยาลัยตามที่ผมต้องการ แม้ผมไม่สามารถยื่นขอทุนได้ แต่ผมก็ได้ทุนโดยไม่ต้องผ่านการสัมภาษณ์เลย ตอนนั้นผมเข้าใจเลยว่า ที่เขาพูดกันว่า “สําเร็จด้วยบุญ” เป็นอย่างไร หากผมไม่ได้มาบวชและตั้งใจสั่งสมบุญประมาณ ๒ เดือนนี้ ผมคงไม่มีโอกาสได้เห็นอานุภาพของบุญที่เกิดขึ้นทันตาขนาดนี้ และผมคงไม่มีโอกาสสัมผัสธรรมะที่ลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและมหาปูชนียาจารย์ขนาดนี้ ผมขอขอบคุณโครงการดี ๆ อย่างนี้มากครับ และอยากเชิญชวนให้มาบวชกันเยอะ ๆ ครับ