วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ " ประพุทธ กำลังเอก ผู้ก่อการดี ทางความคิด..."

 

 


             เมื่อพูดถึงนามสกุล กำลังเอก ทำให้พลอยนึกถึง พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก อดีตผู้บัญชาการ ทหารสูงสุด ซึ่งในวันนี้เราได้มีโอกาส เข้าไปพูดคุยกับ คนใกล้ชิด ท่านที่สุดคนหนึ่ง คุณประพุทธ กำลังเอก หรือคุณดุ๊ก ลูกชายหน้าใส ที่มีคุณแม่คือ คุณพรสรร กำลังเอก (พรประภา)

            คุณดุ๊ก เติบโตขึ้น ในสังคม ที่แวดล้อมไป ด้วยความก้าวหน้า ทางด้านเทคโน โลยีและคริสตศาสนา เพราะเกิดที่สหรัฐอเมริกา และบินไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่ ๘ ขวบ จนกระทั่งคว้าปริญญาโท สาขาบริหารคอมพิวเตอร์ จาก London School of Economics กลับมาฝากคุณพ่อคุณแม่ที่ เมืองไทย

           แต่นาทีนี้..เขากลายเป็นต้นแบบ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนรุ่นถัดมา ให้ได้เดินตามหลัง อีกจำนวน ไม่น้อยแม้บางคนจะบอกว่า เขาคือหนุ่มไฮโซ ที่ไม่ค่อยชอบ ออกงานสังคมมากนัก แต่หากมารู้จักเขา ให้ลึกซึ้งขึ้นเราจะค้นพบ สัจธรรมอะไรบางอย่างกับคำพูดที่ว่า "ผมเป็นคนหลุดแนว และเป็นคนเปิดกว้างทางความคิด " ซึ่งแก่นสารตรงนี้แหละ..!! ทำให้คุณดุ๊ก เป็นผู้ประสบความสำเร็จ ในชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย

          " ตั้งแต่ผมเรียนจบ ก็บินกลับเมืองไทย มาทำธุรกิจด้านเว็บไซต์ และทำด้านกีฬาฟุตวอลเล่ย์ ซึ่งเป็นกีฬาลูกผสม ระหว่างฟุตบอล กับวอลเลย์บอล จะเล่นกันที่ชายหาด สนุกมาก แต่ยังไม่ค่อยบูม ในเมืองไทย ผมจึงปิ๊งขึ้นมาว่า.. คนไทยเรา น่าจะมีโอกาส และมีความเป็นไป ได้ในการไปคว้า แชมป์โลกในกีฬาประเภทนี้ ผมจึงบุกเบิกและ ก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นจากแรงบันดาลใจ..."

           คุณดุ๊กได้นำทีมนักกีฬาเวียน ไปแข่งขันที่ประเทศ กรีก บราซิล สเปน และอีกหลายๆ ประเทศ จนสามารถ คว้า อันดับ ๔ ของโลกมาแล้ว ทั้งๆ ที่พึ่งเริ่มทำได้เพียง ๕ ปี โดยมีคุณแม่เป็น ผู้ให้การสนับสนุน มาโดยตลอด และอยู่ในฐานะ ผู้จัดการทีมชาติ..!!

            คุณดุ๊ก ได้รับการอบรม เลี้ยงดูอย่างดี จากคุณพ่อคุณแม่ ที่มีฐานะดี และเกิดในตระกูลที่มี ชื่อเสียง อีกทั้งยัง ดำรงตำแหน่งเป็น รองประธาน บริหารถึง ๒ บริษัท คือ บริษัทแชดไดเร็คทอรี่ (ประเทศไทย) จำกัดและบริษัทฟุตวอลเล่ย์ จำกัด


            "บางคนอาจมองว่าผมเป็นคน มีความพร้อม ในทุกด้าน ดูดีมีความสุข แต่ทำไมผม ต้องแสวงหาอะไร บางอย่างอยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะ ในวัยเด็กขณะ ที่ผมนั่งดูหนังอยู่กับคุณแม่ และเห็นคนตาย ผมจึงถาม คุณแม่ว่า.. คนเราเกิดมา ต้องตายหรือครับ คุณแม่ตอบว่า ใช่.. ผมก็ถามต่อว่า แล้วคุณแม่ก็ ต้องตายหรือ คุณแม่ก็ตอบ ว่าใช่.. คนเราเกิดมาต้องตายทุกคน อย่างนี้แสดงว่า อีกหน่อยคุณแม่ ที่ผมรักที่สุด ก็ต้องตาย จากผมไป และผมก็ต้องตายด้วยงั้นหรือ... ตอนนั้นทำ ให้ผมรู้สึกแย่ ผมร้องไห้โฮ รู้สึกเซ็งชีวิต และผิดหวัง เอามากๆ จึงมีความคิดว่า งั้นโตขึ้นผม ต้องรวยให้ได้มากๆ และจะเอาเงิน มาทุ่มค้นคว้า หาวิธีการทำให้ คนไม่ตาย อาจเป็นหุ่นยนต์ หรืออะไรก็ได้ ที่ทำให้คนเป็นอมตะ ตั้งแต่วันนั้น ความรู้สึก นี้มันเลยฝังใจ ทำให้ผมพยายาม แสวงหาคำตอบ ที่ว่าด้วยเรื่อง ของชีวิตมาตลอด จนกระทั่งมาพบ คำตอบที่ "ใช่" ในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะช่วง ที่เรียนอยู่อังกฤษ ผมแสวงหาหนังสือ ประเภทธรรมะมาอ่าน และสนใจ การปฏิบัติธรรม จนกระทั่งกลับ มาเมืองไทย จึงแสวงหา และศึกษา ธรรมะมากขึ้น ทดลองปฏิบัติ มาหลายแห่ง แต่ไปมากี่ที่ก็เหมือนยัง ไม่พบที่สุดของการแสวงหา จนกระทั่งได้มาบวช..."

            คุณดุ๊กตัดสินใจ มาบวชธรรมทายาท รุ่นเข้าพรรษา ที่วัดพระธรรมกาย จากการที่ลูกน้อง คุณแม่ที่บริษัท แนะนำให้มาปฏิบัติธรรม ที่พนาวัฒน์ จ.เชียงใหม่ และก็มีพระอาจารย์เป็น ผู้ชวนให้บวช

            " พระอาจารย์ประสิทธิ์ อนังคโน ท่านแนะนำว่า หากคิดจะมาศึกษาด้านนี้ ก็อยากให้ศึกษาให้ถ่องแท้ ซึ่งจะเข้าใจได้มากขึ้น โดยการบวช ตอนนั้นผม ก็อยากบวชพอดีครับ เพราะเคยบวชเณร มาแล้ว แต่บวชพระยังไม่เคย "

            ในช่วงเวลาที่บวชอยู่นั้น เป็นช่วงหนึ่ง ของชีวิตที่คุณดุ๊ก เลือกด้วยตนเอง เพราะเขา ได้พบว่าวิถีชีวิต แบบนี้ทำให้เขา มีความสุข และเขาก็ได้พบคำตอบ ที่เขาเสาะแสวงหา

            " ผมว่าชีวิตนักบวชนี่ดีมากๆ เป็นพระนี่ดี ไม่ต้องเบียดเบียนใคร เป็นชีวิตที่สงบ ทำให้เราสามารถศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างเต็มที่ เมื่อก่อนผมศึกษาธรรมะ มามากก็จริง แต่พอศึกษาไป ก็พบคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมคิดวนไปวนมา แต่พอมาบวชที่นี่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ-ธัมมชโย ท่านตอบให้เราได้หมด โดยที่เราไม่ต้องถาม เหมือนผมได้ที่สุด ของคำตอบที่โดนใจ เมื่อก่อนผมคาใจมากว่าคนเราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน เราต้องเกิดอีกนานเท่าไร เพราะผมเห็นชีวิตของผู้ประสบความสำเร็จระดับสูงสุดของประเทศหลายต่อหลายคน ในที่สุดก็ต้องตาย แล้วเอาอะไรไปไม่ได้ จึงทำให้ผมคิดว่า มีอะไรอีกไหม.. นอกจากความรวยที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด เพราะในเมื่อรวยที่สุดก็แค่นั้น มันน่าจะมีอะไรที่มันมากไปกว่านี้.. หรือคนเราจะเกิดมา เพื่อรวยที่สุดแล้ว เอาอะไรไปไม่ได้งั้นหรือ แล้วทำไม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะบวช พระองค์ก็เป็นที่สุด ของความสุขที่ชาวโลกอยากได้ มีชาติตระกูลที่สูงสุด เป็นถึงลูกกษัตริย์ มีราชสมบัติ อันมหาศาลมากมาย แต่ทำไมท่านกลับยอมทิ้ง ทุกอย่าง แล้วมาบวช แสดงว่ามันต้องมีอะไรที่มากไปกว่านั้น อีกทั้งการที่ผมได้ มาฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี และที่ต้องทำอย่างนี้ ก็เพื่อให้เราชนะการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คำตอบตรงนี้โดนใจผม ทำให้ผมกระจ่าง



            ..ผมว่า การบวชเป็นโอกาสที่ลูกผู้ชายพึงใช้สิทธิ์นะครับ และเป็นโครงการที่ดีมากๆ ที่อยาก ให้มาลอง เราแค่ฟังว่าคนอื่นเขาว่าดี ก็ได้ระดับ หนึ่ง แต่ถ้าได้เข้ามาเอง จะได้อะไรมากกว่าที่คิด เหมือนที่ผมเองได้รับ "

            หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า คุณดุ๊กจะบวชทั้งทีทำไมถึงเลือกวัดนี้

            " ผมเป็นคนทำอะไรหลุดแนวอยู่แล้ว และเป็นคนเปิดกว้างทางความคิด ซึ่งใครจะว่ายังไง ผมก็คงไปห้ามอะไรเขาไม่ได้ แต่ผมมาบวชวัดนี้แล้ว ผมได้อะไรหลายอย่าง ผมได้คำตอบที่ผมแสวงหา ผมได้บวชให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่ผมรักมากที่สุด ผมได้ทำให้ท่าน ได้เข้าวัดมาทำบุญกับพระลูกชายของท่าน ผมชอบเห็นคนที่ผมรักมาวัดด้วยกัน เพราะการที่ผมทำอย่างนี้แล้ว ผมมีความสุข ซึ่งหลายๆ คนที่เข้าวัดนี้ จำนวนมากก็เหมือนผม คือเขาพบความสุข มีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะหากเข้าวัดนี้แล้ว ชีวิตเขาแย่ลง เขาคงไม่เข้าหรอกครับ

            ..คำพูดของผมอาจจะทำให้คนเข้าใจได้ยากสักหน่อย เพราะหากไม่ได้มาวัดเองก็คงไม่เห็นภาพ แต่ถ้าอยากเข้าใจอะไรมากขึ้น ผมขอแนะนำให้ดูจานดาวเทียมที่ถ่ายทอดธรรมะของทางวัดมาที่บ้าน หรือที่เรียกกันว่า จานดาวธรรม เป็นรายการที่ดีมากๆ ซึ่งผมเข้าใจวัด เข้าใจอะไรมากขึ้น และมีหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามหลักธรรม ก็เพราะสิ่งนี้ "

            ทุกวันนี้คุณดุ๊กได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตร ให้กับลูกน้องที่ทำงาน โดยมีโครงการให้พนักงาน ไปปฏิบัติธรรมปีละครั้ง และถ้าใครอยากติดจานดาวธรรมก็จะสนับสนุนติดให้ รวมทั้งเพื่อนๆ ด้วย

            " ผมว่า..การติดจานดาวธรรม ทุกบ้านควรจะติด เพราะเปรียบเสมือนกับมีวัดอยู่ในบ้าน ดูแล้วก็เอาไปปฏิบัติได้จริง ปกติสังคมทุกวันนี้ เราไม่ค่อยมีเวลาไปวัดกัน ไปอย่างมากก็แค่ปีใหม่ วันเกิด แต่การมีจานดาวธรรมทำให้เราได้ใกล้ชิดธรรมะมากขึ้น มีที่พึ่ง ผมยังเคยคุยกับเพื่อนเลยว่า ชีวิตของเราเคยลองอะไรต่างๆ มามากมายทั้งดีและไม่ดี อยากให้เปิดกว้างติดจานดาวธรรมดู อีกทั้งเป็นโอกาสที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นด้วยธรรมะอีกด้วย ซึ่งก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย..."

            นอกจากการทำงานหนักในฐานะนักธุรกิจคนเก่งแล้ว คุณดุ๊กยังสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น นั่งสมาธิทุกวัน ถือศีล ๘ ในวันพระและวันสำคัญทางศาสนา ชวนเพื่อนและลูกน้องมาวัด

            " สิ่งที่ผมทำ ก็ ทำเพื่อตัวเอง หากเราปรารถนาให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุข ก็ควรจะเลือกทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง ดีกว่าไปหมกมุ่นอบายมุข และผมถือว่าการทำ ความดีเพียงแค่นี้ มันยังน้อยมากนะครับ ถ้าจะแลกกับการให้สิ่งดีๆ บังเกิดขึ้นกับชีวิตเราในอนาคต ผมเชื่อว่าทุกคนอยากมีชีวิต ที่ดีขึ้นนะครับ แต่หากจะถามว่า ด้วยวิธีการไหนล่ะ ผมว่า..ความดีพื้นฐานแบบง่ายๆ นี่ล่ะครับ จะนำความสุขความสำเร็จในชีวิตที่ยิ่งใหญ่มาสู่เราแบบเย็นๆ แล้วการที่ผมชวนพนักงานที่บริษัทมาวัด ก็เพราะผมปรารถนาดีกับเขา ที่บริษัทมีนโยบายส่งเสริมด้านการงานและด้านจิตใจด้วย อยากให้เขา เข้าใจเรื่องบุญมากขึ้น เมื่อเขาเข้าใจ มีบุญมากขึ้น สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับเขาเอง..."

            คุณดุ๊ก ผู้ก่อการดีทางความคิดและการกระทำ เขาได้กลายเป็นผู้ที่มีมากกว่าคำว่า ความพร้อมและความสำเร็จในชีวิต เพราะเขาเข้าถึงความเป็นแก่นสารของชีวิต จากการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาธรรมะ และแนะนำสิ่งดีงามเหล่านี้ให้กับคนรอบข้าง...

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ ๓๔ ประจำเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล