ในปัจจุบัน ผู้หญิงมีศิษย์มีเสียง มีความรู้มีความสามารถ ไม่แพ้ผู้ชาย เพราะฉะนั้นถ้าผู้หญิงคิดจะอยู่เป็นโสด ความคิดนี้จะเหมาะสมและถูกต้องเพียงใด สำหรับสังคมไทยของเราเจ้าค่ะ? ถ้าคุณโยมคิดอย่างนี้ หลวงพ่อก็ขอโมทนาด้วย เพราะการอยู่เป็นโสดคนเดียว ย่อมสบายกว่าการมีครอบครัวอยู่แล้ว
โดยทั่วไป สาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงส่วนมากคิดแต่งงาน คือ
๑. ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเลี้ยงตัวเองได้ จึงคิดหาที่พึ่ง โดยการยอมเป็นช้างเท้าหลังของผู้ชาย
๒. ไม่มั่นใจว่าจะสามารถป้องกันตัวเองเมื่อมีภัยได้ แม้จะสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ แต่ก็ไม่มั่นใจว่า ถ้ามีเหตุเภทภัยอะไรเกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นภัยจากคนพาล ภัยจากสุขภาพ ภัยจากธรรมชาติไม่เอื้ออำนวย แล้วใครจะ ช่วยเป็น เกราะป้องกันภัยเหล่านี้ให้
ทั้ง ๒ กรณีนี้ ผู้หญิงยอมแต่งงานทั้งที่ไม่ได้รัก ส่วนในกรณีที่รักเขาจึงยอมแต่งงานด้วย หลวงพ่อจะยังไม่พูดถึงเพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้รักใครชนิดหัวปักหัวปำลงไปแล้ว ในเมื่อเราก็สามารถ ทำมาหาเลี้ยง ตัวเองได้ เมื่อมีเหตุเภทภัยอะไรเกิดขึ้นก็ไม่กลัว บ้านเมืองสมัยนี้ก็ไม่ถึง กับป่าเถื่อนจนเกินไปนัก เนื่องจากมีกฎหมาย มีการคุ้มครองที่ดีอยู่แล้ว
และยังมีความมั่นใจอีกว่า โดยฐานะ โดยสุขภาพ แม้เราจะต้องอยู่คนเดียวตอนชรา เราก็อยู่ของเราได้ ไม่ต้องให้ใครมาคอยดูแลเพราะว่าหลักประกันสังคมในด้านต่างๆ นั้นมีอยู่มากมาย
ถ้ามีความมั่นใจอย่างนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแต่งงาน หลวงพ่อจึงเห็นด้วย
ถ้าผู้หญิงทั้งหลายที่สามารถยืนหยัดอยู่บนขาของตัวเอง ไม่คิด ที่จะแต่งงาน แล้วก็ไม่ได้ผิดหลัก ศาสนาอะไรด้วย
ความจริงแล้วคนเราไม่ว่าจะเป็นหญิง หรือเป็นชาย ในพระพุทธศาสนาสอนไว้ชัดเจนว่า " คนเราเกิดมาเพื่อแก้ไขตนเอง " เพราะแต่ละคนก็มีนิสัย มีความประพฤติ ที่ยังดีไม่สมบูรณ์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อไม่รีบแก้ไขเสียตั้งแต่ตอนนี้ นิสัยและความประพฤติไม่ดีเหล่านั้น ก็จะทำให้เราไปทำอะไร ที่ไม่เหมาะ ไม่ควร จนเป็นบาปติดตัว เป็นทุกข์ ตามมา
ถ้าเราสามารถแก้นิสัยไม่ดีของเราได้ จนกระทั่งเหลือแต่นิสัยดีๆ ก็จะทำให้พฤติกรรมต่างๆ ของเรา เป็นบุญ เป็นกุศล อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ชีวิตของเราจะมีทุกข์น้อยลง และมีสุขเพิ่มขึ้น ไปทุกชาติๆแต่ว่าขณะที่เรายังต้องแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีให้หมดไปนี้ เรายังต้องกิน ต้องใช้ ก็เลยต้องมีการทำมาหาเลี้ยงชีพ เมื่อต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ บางคน ไม่มั่นใจในความสามารถ ในการหาเลี้ยงชีพของตัวเอง ก็เลยหาที่พึ่งด้วยการแต่งงาน ต้องยอมไปทำอะไรหลายๆ อย่าง ที่ไม่อยากทำ แต่พ่อบ้านเขาให้ทำ
ยกตัวอย่าง เราไม่ดื่มเหล้า แต่พ่อบ้านชอบดื่ม เขาก็ใช้ให้เราไปซื้อเหล้า ใช้ให้เราไปทำกับ แกล้ม มาให้ เมื่อทำไม่ถูกใจ พ่อบ้านบางคนก็เตะแม่บ้านเสียเฉยๆ อย่างนั้นแหละ
เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ สามารถต่อสู้กับอุปสรรคเภทภัยต่างๆ ได้ เรื่องอะไร จะต้องไปรองรับ หน้าแข้งคนอื่นเขา อยู่คนเดียวอย่างนั้นแหละดี แล้วก็หมั่นแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีในตัวของเราไปคุณยายอาจารย์ฯ ท่านเคยสอนหลวงพ่อว่า อยู่คนเดียวมีเงิน ๑๐๐ บาท สามารถทำบุญได้ถึง ๕๐ บาท แต่งงานไปมีเงิน ๑๐๐ บาท อย่างดีทำบุญได้แค่ ๕ บาทเท่านั้น เพราะว่าเกรงใจเขา ยิ่งมีลูกขึ้นมา สักคน มีเงิน ๑๐๐ บาท จะทำบุญสัก ๑ สลึง ก็ทำได้ยากเสียแล้ว เพราะต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง ห่วงสามี ห่วงลูก เกรงใจคนนั้น เกรงใจคนนี้
ผลสุดท้ายเกิดมาแทนที่จะได้สร้างบุญ สร้างบารมี กลับต้องมานั่งไกวเปลเลี้ยงลูก ต้องมา นั่งเกรงใจสามีที่บางครั้งก็ไปทำเรื่องไม่เข้าท่าสู้เอาเวลาเหล่านั้นมาเป็นของตัวเอง ยืนหยัดอยู่ในโลกกว้าง ศึกษาและ ปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป สร้างบุญ สร้างบารมี ของเราให้เต็มที่ ไม่ต้องมีใครมาเป็นเจ้าหัวใจดีกว่า
แต่บางครั้งก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าแล้ว บั้นปลายชีวิตจะทำอย่างไร ในเมื่อเราไม่แต่งงาน ไม่มีลูก บางคนก็เลยมาตัดสินใจแต่งงานเอาง่ายๆ ตรงนี้เอง เพราะหวังว่าต้องมีลูกเอาไว้ เพื่อจะได้ดูแลเราตอนแก่
หลวงพ่อเคยเห็นมามาก บางคนมีลูกเป็นโหล ตอนแก่กลับพึ่งลูกไม่ได้สักคน เพราะต่างคนต่าง ก็แยกออกไปมีครอบครัวของตัวเองกันหมด ปล่อยให้แม่เฒ่าเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว
การที่จะมีใครมาคอยดูแลตอนแก่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ๒ ประการ คือ๑. นิสัยใจคอของเรา เราเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น หรือไม่ ถ้าไม่จู้จี้ขี้บ่น คนที่จะมาช่วยดูแลเรา ตอนแก่ ก็พอจะหาได้ไม่ยาก
๒. ทรัพย์สมบัติของเรา เรามีเงินหรือไม่ ยิ่งมีเงินมากๆ ไม่ต้องมีลูกหรอก แค่หลานๆ หรือว่าเพื่อนบ้าน ก็อยากจะมาช่วยดูแลเรากันทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นคนไม่จู้จี้ขี้บ่น และมีฐานะดี หมั่นเก็บเงินเก็บทองเอาไว้มากๆ บั้นปลายชีวิต เดี๋ยวก็จะมีคนมาช่วยมาดูแลเราเอง
ข้อสำคัญเราต้องเป็นคนดี ต้องสร้างบุญ สร้างบารมี ตลอดชีวิต ทานก็ทำ ศีลก็รักษา สมาธิก็นั่ง เห็นหลานๆ หรือว่าเพื่อนบ้าน คนไหนที่มีแววว่าจะเป็นคนดี เราก็สนับสนุนส่งเสริม ให้การศึกษาบ้าง ให้ความช่วยเหลือต่างๆ บ้างตาม สมควรแก่นิสัยใจคอของเขา ก็คงจะได้เจอคนดีๆ เข้าบ้างล่ะ
เมื่อเราอุปการะเขาอย่างดี แม้ไม่มีลูกก็เหมือนมีลูก แล้วก็จะได้ให้เขานั่นแหละคอยดูแล เราตอนแก่ เพราะเราก็เตรียมของตอบแทนไว้เต็มที่แล้ว คือสมบัติที่เก็บเอาไว้นั่นเอง
"ลูกเอ๊ย ถ้าดูแลป้าดีๆ ก็เอามรดกนี้ไปก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นป้าเอาไปทำบุญหมดนะ"
มองภาพของการดำเนินชีวิตให้ได้ชัดเจนอย่างนี้ แล้วหมั่นเตือนตัวเองว่า ฉันเกิดมา เพื่อสร้างบุญ สร้างบารมี เกิดมาเพื่อจะแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีให้หมดไป เกิดมาเพื่อจะถางทางไปพระนิพพาน
คิดได้อย่างนี้ สามีก็ไม่ต้องมี ลูกก็ไม่ต้องมี เงินทองหามาได้ที่ต้องกินก็กิน ที่ต้องใช้ก็ใช้ ที่ต้องเก็บก็เก็บ ที่ต้องทำบุญก็ทำบุญ ที่จะต้องไปเกื้อหนุนใคร ก็เตรียมเอาไว้ให้พร้อมสรรพ ใครทำ ได้อย่างนี้ รับรองอยู่คนเดียวสบาย
หลวงพ่อเห็นอย่างนี้ ส่วนคนอื่นเห็นอย่างไร หลวงพ่อไม่ทราบ และเพราะเห็นอย่างนี้นี่เอง ถึงได้ บวชมา ๓๐ กว่าพรรษาแล้ว ส่วนใครจะบวชตามหลวงพ่อบ้างก็เชิญ