เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
วันอังคารที่ ๖ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๔๗
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราในชาติก่อนๆ ก็ได้เคยเกิดมาเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเราทุกคน
ก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ทรงสั่งสมบุญบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน โดยมีความปรารถนา จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่วแน่ ได้ผ่านชีวิตมาทุกระดับแล้ว ได้พยายามทดลอง อยู่หลายๆ วิธี เพื่อค้นหาทางพ้นทุกข์
พระองค์มุ่งสร้างบารมี ทำแต่ความดี เมื่อละโลกไป ก็ได้ไปพักอยู่ที่สุคติโลกสวรรค์ แต่ก็มีเหมือนกันที่บางครั้งอกุศลเข้าสิงจิต ทำให้พระองค์พลาดพลั้งกระทำความผิด ทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในทุคติเป็นเวลายาวนาน
บุคคลใดที่ตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนั้น แสดงว่าบุคคลนั้นจะต้องมีความรู้เรื่องราวความเป็นจริงของโลก และชีวิตในระดับหนึ่ง รู้ว่าโลกที่เราอยู่นี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป นับครั้งไม่ถ้วน แม้กระทั่งสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม ตลอดจนสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรกต่างก็ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้มายาวนาน ถ้าชาติไหน สัตวโลกเหล่านั้นทำความดี ก็จะไปเกิดใน สุคติ คือ เกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม ตามกำลังแห่งบุญที่ตัวได้กระทำเอาไว้ แต่ถ้าชาติไหนเกิดพลาดพลั้งทำบาปอกุศลเข้า ก็จะต้องไปเกิดในทุคติ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
จะเห็นได้ว่า ในสังสารวัฏมีแค่บุญกับบาปเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ารวยหรือจน ซึ่งเราจะต้องเลือกเอาว่าเราจะอยู่ตรงไหน จะทำ บุญหรือว่าจะทำบาป เพราะเราต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ไปนับภพนับชาติไม่ถ้วน และบาปบุญนั้นไม่มีเว้นใคร ไม่ว่าบุคคลนั้นจะตั้งความปรารถนาอันใดไว้ เพราะฉะนั้นเราไม่ควร ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความประมาท แม้แต่ผู้มีบารมีที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตก็ยังพลาดพลั้งได้
ในขณะที่สรรพสัตว์ทั้งหลายยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น ไม่พ้นที่จะต้องประสบ กับความทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดเป็นใครก็แล้วแต่ล้วนประสบทุกข์ทั้งสิ้น เศรษฐีก็ทุกข์แบบเศรษฐี ยาจกก็ทุกข์แบบยาจก ชนชั้นกลางก็ทุกข์แบบชนชั้นกลาง
แต่ถ้าบางชาติพลาดพลั้งทำบาปอกุศลเข้า
ก็ต้องไปเกิดในทุคติ
ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก
ความผิดหวัง ไม่ได้ตั้งใจ
ความทุกข์ มี ๒ ประการ
ประการแรก คือ ทุกข์ประจำ เป็นความทุกข์ที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่เกิดมา คือ ความแก่ ความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ หลีกเลี่ยงไม่ได้
ประการที่สอง คือ ทุกข์จร เป็นทุกข์ที่เกิดจากความไม่สบายกาย เจ็บไข้ได้ป่วย ความร่ำไรรำพัน ความน้อยใจ คับแค้นใจ ประสบกับสิ่งที่เกลียดชังบ้าง พลัดพรากจากสิ่งที่รักบ้าง ไม่สมหวังดังใจบ้าง ซึ่งความทุกข์จรเหล่านี้จะมีมากน้อยขึ้นอยู่กับวิบากกรรมของแต่ละบุคคล
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปของโลก รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกชีวิตต่างล้วนต้องประสบความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติของโลกใบนี้และเป็นธรรมชาติของทุกๆ ชีวิต
เมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างต้องเวียนว่าย ตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนานเข้า สัตว์ผู้สั่งสมปัญญามามากก็จะเกิดการสังเกต จะมีการพัฒนาตนเองขึ้นไปตามลำดับ จะมีสติปัญญามากขึ้นจนกระทั่งถึงในระดับหนึ่ง เมื่อประสบ เหตุการณ์ที่สะดุดใจ บุคคลผู้นั้นก็จะพลันคิดได้ว่า วัฏสงสารนี้ก็คือทะเลแห่งกองทุกข์ อุปมาเหมือนคุกใบใหญ่ที่ขังสรรพสัตว์ทั้งหลายเอาไว้ให้ทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส บังคับให้ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารแห่งนี้โดยยากที่จะพ้นจากวัฏสงสารนี้ไปได้ จึงได้คิด ต่อไปว่า วันหนึ่งเราจักทำลายวัฏสงสารนี้ออกไปให้ได้ จะออกไปให้พ้นจากทะเลทุกข์ทรมานแห่งนี้ และหากวันไหนที่เราออกจากวัฏสงสารนี้แล้ว จะไม่ไปเพียงลำพัง แต่จะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายนั้น ฝ่าวงล้อมนี้ออกไปด้วย เหมือน ทลายคุก คือ ภพสามออกไป บุคคลผู้มีความคิดเช่นนี้ถือว่าเป็นความคิดของอุดมบุรุษที่มุ่งปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล
ดังนั้น ทุกคนก็สามารถตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งกลางๆ ไม่ผูกขาด ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นได้ทั้งนั้น เมื่อตั้งความปรารถนา แล้วก็สั่งสมบารมีให้ครบถ้วนบริบูรณ์