พระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
ความใส ความหมองของใจ ต้องจำนะลูกนะ สองคำนี้ต้องจำเอาไว้ให้ดี ใสกับหมอง แล้วเลือกอย่างเดียว คือ ความใส ตัวสำคัญคือ เป็นเรื่องจริงๆ โยงกัน ไปสู่ชีวิตใหม่หลังจากตาย เพราะว่าหลังจากนั้นไปแล้ว เราจะเอาความสามารถในเมืองมนุษย์ไปใช้ที่นั่นไม่ได้เลย จะเอาความสามารถในด้านธุรกิจการงาน หรืออะไรต่างๆ ไปใช้ในปรโลกไม่ได้ เพราะในปรโลกไม่มีการทำมาหากิน ไม่มีการหว่าน การไถ การอะไรต่างๆ เป็นอยู่ได้ด้วยบุญและบาปเท่านั้น และก็ยาวนานมาก ความจนในเมืองมนุษย์นี่ยังจนไม่จริง แต่จนในปรโลกน่ะจนจริง ขนาดต้องกินเลือดกินเนื้อของตัวเองหรือไปเที่ยวแสวงหาคูถ สิ่งที่เอาทิ้งแล้ว ได้แก่ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำหนองกิน นานทีเดียวนะ ไม่ใช่เป็นร้อย เป็นพันปี แต่เป็น หมื่น เป็นแสนล้าน หลายล้านปีของเมืองมนุษย์ อย่าเสี่ยงเลย
เพราะฉะนั้น "ความใสสำคัญ" โดยเฉพาะประเด็นแรก "ผู้ป่วยที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล" ซึ่งจะป่วยน้อย ป่วยปานกลาง ป่วยมากก็ตาม เรากำลังอยู่เฉียดฉิวทีเดียว ระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า เหมือนอยู่บนกำแพง ซีกหนึ่งโลกมนุษย์ อีกซีกหนึ่งปรโลก เป็นช่วง ที่เราจะต้องทำใจให้ใส ให้ถูกหลักวิชชา แม้ชีวิตที่ผ่านมาจะผิดพลาด ลืมไปเสียให้หมด เพราะตอนนั้นยังไม่รู้ แต่ก็ทำไปแล้ว อย่างไร ได้ก็ต้องลืมไป ลืมไปให้หมด แล้วเริ่มใหม่ จิตดวงนี้ ณ จิตปัจจุบัน ซึ่งกำลังนอนอยู่ บนเตียงคนป่วยในโรงพยาบาลเตียงเล็กๆ
ความใสของใจมีความจำเป็นอย่างยิ่งในวาระนี้ หมอพยาบาล ผู้เฝ้าไข้ ที่เยี่ยมไข้ อย่างมากก็ช่วยดูแลและให้กำลังใจเท่านั้นแต่มีสิ่งหนึ่งที่ใครทำแทนให้ไม่ได้ ต้องทำด้วย ตัวเอง คือ ความใสของใจ หมอเขาทำแทนให้ไม่ได้ พยาบาลทำแทนให้ไม่ได้ ผู้เฝ้าไข้ก็ทำแทนให้ไม่ได้ ผู้เยี่ยมไข้ก็ทำแทนให้ไม่ได้ เราต้องทำเองนะลูกนะ เมื่อเรานอนอยู่บนเตียงคนป่วย ซึ่งตรงนี้ถ้าเราไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ฝึกฝนแล้วอันตราย แต่ก็ไม่สายเกินไปถ้าดูจานดาวธรรม ตรงนั้นนะ รายการธรรมะ จากดาวธรรมจะเขย่าเช้า เขย่าเย็น เขย่า ๒๔ น. ทีเดียว ให้สิ่งที่เป็นมลทินของใจมันร่วง มันหล่น เหลือใจที่ใสๆ
เพราะฉะนั้น โรงพยาบาลไหนติดจานดาวธรรม โรงพยาบาลนั้นประดุจพระโพธิ-สัตว์ทีเดียว ให้สิ่งที่ดีงามต่อเพื่อนมนุษย์ ในยามสุดท้ายของชีวิต หนักก็จะเป็นเบา เบาก็จะหาย ถ้าตายก็ไปดี เพราะฉะนั้นอย่างโรงพยาบาลบางแห่งนี้ หลวงพ่อชื่นใจจริงๆ ที่จริงยังมีอีกหลายโรงพยาบาล
ประเด็นที่ ๒ ที่ต้องการคือ "ผู้เฒ่า ผู้แก่" ที่อยู่ในบ้านเนี่ย ในยามนี้ท่านชราแล้ว หมดเรี่ยว หมดแรง ลูกหลานก็ไปโรงเรียนบ้าง ไปทำงาน ทำมาหากินบ้าง ท่านก็คือผู้เฒ่าที่อยู่เฝ้าบ้าน อยู่โยงนะ ถ้าไม่มีอะไรให้ดู ท่านก็จะต้องคิดนั่น คิดนี่ คิดเรื่องเก่า ชอบของเก่า เล่าเรื่องในอดีต ชอบของขม นิยมของเก่า นี่เป็นสูตรสำเร็จของผู้เฒ่า
เพราะฉะนั้น เรื่องในอดีตที่ผ่านมา ใครจะยืนยันได้ว่าเราจะดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ไปตลอดเส้นทาง เพราะว่าเรายังไม่หมดกิเลส บางช่วงก็ดี บางช่วงก็ไม่ดี บางช่วงดำเนินชีวิต ถูกต้อง แต่บางช่วงดำเนินชีวิตผิดพลาด แล้วตอนนั้นไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ไม่มีใครเป็น ที่ปรึกษา ใครจะไปทำแทนท่านก็ไม่ได้ เรื่องความใสกับหมองของใจ ผู้เฒ่าอยู่ที่บ้านต้องทำเอง ต้องช่วยตัวเอง ต้อง อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ
เพราะฉะนั้น จานดาวธรรมนี่แหละจะไปช่วย เพราะว่า ๒๔ น. ผู้เฒ่านอนไม่ค่อยจะหลับนะ หรือนอนน้อยลง เพราะนอนมามากแล้ว เปิดเมื่อไรเป็นเจอ ทั้งเสียง ทั้งภาพ ที่ผ่านใจ พอผ่านเข้าไปแล้วจะไปกลั่นให้ ใจใสๆ เพราะมีแต่เรื่องราวของพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า พุทธสาวก-สาวิกา พระรัตนตรัย หรือตัวอย่างดีๆ ที่เพื่อนมนุษย์ กำลังสร้างบารมีให้ดู ตรงนี้ ที่จำเป็น
อีกประเภทหนึ่งที่จำเป็นมาก คือ "วัยทำงาน" อย่าลืมว่างานที่ทำใช่ว่าจะ ราบรื่นทุกราย ทุกครั้ง ทุกที่ ทุกที แต่มันบางที่ บางทีเท่านั้นเอง มันจะต้องเจออุปสรรค เกิดจากตัวเองก็ดี จากผู้ใต้บังคับบัญชา จากผู้บังคับบัญชา จากเพื่อนร่วมงาน จากลูกค้า จากพ่อค้าบ้าง จากบริวาร พวกพ้อง จากหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง หรือจากการเดินทางระหว่างบ้านเราไปที่ทำงาน จากที่ทำงานกลับมาบ้าน หรือจะไปเอนเตอร์เทนแขกอะไรต่างๆ
เราจะสังเกตได้ว่าใจที่ใสยาก จะหมองง่าย แล้วหมองนาน นี่อีกประเภทหนึ่งที่ใครไปทำแทนให้ไม่ได้ ความใสของใจ วัยทำงานก็จะต้องทำด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น เรากลับมาแล้ว ทั้งเหนื่อย ทั้งเครียด ทั้งหิว ทั้งง่วง ทั้งเพลียนะ พอได้ดูจานดาวธรรม จะเบิกบานทีเดียว เพราะมีเรื่องดีๆ ให้ดู
อีกวัยหนึ่ง "วัยเรียน" ไม่มีใครจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชน เท่ากับเยาวชน ซึ่งเยาวชนมีตั้งหลายระดับ ที่ผ่านจานดาว-ธรรม ทั้งอนุบาล ประถม มัธยม เตรียมอุดมศึกษา ทุกระดับมีผ่านอยู่ในนี้ นี่ก็จะเป็นต้นแบบที่ดี เพราะว่าเราคัดแล้วว่า เยาวชนคนใดก็ตาม จะอนุบาล ประถม มัธยม เตรียมอุดม อุดมศึกษา ล้วนคัดมาแล้วทั้งสิ้น ที่ใสๆ กายใส วาจาใส ใจใส เอาเรื่องใสๆ มาให้ดู เพราะฉะนั้นวัยนี้เหมาะสมมาก
"วัยก่อนวัยเรียน" ก็ควรอีกเหมือนกัน อย่าลืมว่า วัยก่อนวัยเรียนนี้ กำลังจะฝึกพูด ฝึกจำ ฝึกคิด ฝึกอะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นมีวัยก่อนเรียน อายุขวบ ๒ ขวบ ดูจานดาว-ธรรม พอดูครูไม่ใหญ่ ไปจูงมือปู่ที่นั่งอยู่ บนเก้าอี้ ลงมาที่พื้น มากราบที่พื้น แสดงว่าจิตใจของหนูน้อยก่อนวัยเรียนใจใสแล้วเห็นไหมผู้ใหญ่จะนึกไม่ถึงเลยว่า ผิดสังเกต ที่จริงเราก็ผ่านมาแล้ว แต่เราลืม เพราะฉะนั้นทุกเพศทุกวัย ถ้าติดจานดาวธรรมแล้ว จะเจอแต่เรื่องดีๆ