กายในกาย
เรื่องของดวง ๖ ดวงคือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ตามรอย ได้แสดง หลักฐานที่มีกล่าวอยู่ในพระไตรปิฎก และได้ยกคำสอนของหลวงพ่อวัด ปากน้ำ มากล่าวไว้แล้วในสองตอนที่ผ่านมา
ในตอนนี้ยังคงเหลือเรื่องของ 'กายในกาย' ที่หลวงพ่อท่านยืนยันผลของการปฏิบัติไว้ว่ามีจริง ในพระไตรปิฎกก็มีการกล่าวถึงกายในกายไว้อย่างชัดเจน ในพระสูตรชื่อ มหาสติปัฏฐานสูตร (ทีฆนิกายมหาวรรคสุตตันตปิฎก) ซึ่งหลวงพ่อได้ค้นมายืนยันเอาไว้แล้วท่านได้กล่าวไว้ในพระธรรมเทศนา เรื่อง 'พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ' ว่า
"ยังมีคำว่า 'กาเย กายานุปสฺสี' ในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นหลักฐานสนับสนุนอีก
กายานุปสฺสี แปลว่า เห็นตามหรือตามเห็นซึ่งกาย กาเย แปลว่า ในกาย รูปศัพท์มีวิภัตติตรึงอยู่เช่นนั้น แปลตรงตามศัพท์
และย่นคำให้สั้นว่า ตามเห็นกายในกาย คือตามเห็นเรื่อยเข้าไปเป็นชั้นๆ เห็นกายมนุษย์แล้วตามเข้าไปเห็นกายทิพย์ ตามเข้าไปเห็นกายรูปพรหม ตามเข้าไปเห็นกายอรูปพรหม ตามเข้าไปเห็นกายธรรม ดังนี้ เป็นหลักฐานรับสมกันอยู่"
ท่านที่ได้เคยศึกษาธรรมในพระไตรปิฎกมาบ้าง ก็จะทราบเรื่อง "กายในกาย" จากมหาสติปัฏฐานสูตรมาแล้ว การอธิบายความที่เคยได้รู้กัน คือการพิจารณาดูลม หายใจเข้าออก ภายในกาย หรือการพิจารณาดูร่างกายว่าเป็นของน่าเกลียด หรือการพิจารณาถึงอิริยาบถการเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นต้น สรุปก็คือการพิจารณาสิ่งต่างๆ อันเนื่องด้วยกายมนุษย์หยาบที่เห็นด้วยตาเนื้อนี้เพียงกายเดียวทั้งสิ้น
แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านบอกว่าตามศัพท์แล้วจะแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากการ "ตามเห็นกายในกาย" ซึ่งหมายความชัดเจนว่า ในกายหนึ่งต้องมีอีกกายหนึ่งอยู่ภายในกายนั้น จึงได้กล่าวอย่างชัดๆ ว่า "กายในกาย"
การตามเห็นกายในกายไม่สามารถจะกระทำได้ด้วยวิธีการผ่าพิสูจน์ร่างกาย หรือ การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาตรวจจับดูกายภายใน แต่อาศัยวิธีการฝึกใจให้ "หยุด" อยู่ที่ศูนย์กลางกาย และการเข้ากลางกายไปในทางสายกลาง เป็นวิธีการเดียวที่จะใช้ตรวจสอบว่าในกายของมนุษย์ มีกายอยู่ภายในจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ในมหาสติปัฏฐานสูตรจะกล่าวยืนยันไว้ว่า ในกายหนึ่งมีกายอีก กายหนึ่งอยู่ภายใน แต่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดว่า มีอยู่กี่กาย กายอะไรบ้าง
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้อธิบาย "กายในกาย" ว่ามี อยู่ ๑ กาย คือ กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด และกายธรรมต่างๆ อีก ๑๐ กาย คือ กายธรรมโคตรภู กายธรรมโคตรภูละเอียด กายธรรมพระโสดา กายธรรมพระโสดาละเอียด กายธรรมพระสกทาคา กายธรรมพระสกทาคาละเอียด กายธรรมพระอนาคา กายธรรมพระอนาคาละเอียด กายธรรมพระอรหัต กายธรรมพระอรหัตละเอียดรวมเป็นทั้งสิ้น ๑๘ กาย
ชื่อของกายทั้ง ๑๘ กายมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น แต่กล่าวอย่างกระจัด กระจาย อยู่ในพระสูตรต่างๆ หลายพระสูตร
แผนผังกายในกายของมนุษย์ ที่กระจัดกระจายอยู่ในพระสูตรหลายพระสูตรหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้รวบรวมไว้เป็นแผนผังเดียวกัน ยังความรู้ในพระไตรปิฎกให้ กระจ่างแจ้ง ง่ายต่อการศึกษาทำความเข้าใจ และง่ายต่อการปฏิบัติให้ถูกต้องร่องรอยของพระพุทธศาสนา
อาจจะมีบ้างที่การใช้คำไม่ตรงกัน เช่น คำว่ากายธรรมหยาบและกายธรรมละเอียด (กายที่เรียกเฉยๆ คือกายธรรม พระอรหัตหยาบ) ในพระไตรปิฎกจะใช้คำว่ามรรคและผล เช่น พระอรหัตตมรรค พระอรหัตตผล ซึ่งหลวงพ่อวัดปากน้ำได้อธิบายไว้ในพระธรรมเทศนา เรื่อง อาทิตตปริยายสูตร เมื่อวันที่ ๒๕สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๖ ว่า
"กายธรรมอย่างหยาบ กายธรรมโคตรภู โสดา สกทาคา อรหัต อย่างหยาบ นั่นแหละเป็นตัวมรรค
กายธรรมอย่างละเอียด โสดาอย่างละเอียด สกทาคาอย่างละเอียด อนาคาอย่างละเอียด อรหัตอย่างละเอียด นั่นแหละเป็นตัวผล"
เรื่องราวของกายในกาย เป็นหลักสำคัญของชีวิตมนุษย์ทุกๆ คนที่ควรรู้ ควรทำ ความเข้าใจว่าชีวิตไม่ได้มีเพียงกายมนุษย์ที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อนี้อย่างเดียว หากแต่ว่า ชีวิตหมายถึง กายภายในที่ยังมีอยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุกๆ คนอีก เป็นกายของตัวเรา ทั้งนั้นสามารถสั่งให้ทำการงานใดๆ ก็ได้ เหมือนใช้กายมนุษย์ที่เห็นด้วยตาเนื้อนี้เช่นกัน ความสามารถใดๆ ที่มีอยู่ในกายภายใน ก็สามารถนำมาใช้เป็นความสามารถของตัวเราทั้งสิ้น นี้เป็นสิ่งอัศจรรรย์ที่ซ่อนอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกๆ คน ซึ่งหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้เมตตาชี้แนะสั่งสอนให้เห็นอย่างชัดเจน
รายละเอียดของกายในกายเหล่านี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำได้กล่าวไว้อย่างไรบ้าง จะได้เริ่มศึกษากันไปตามลำดับ
เริ่มที่กายที่หนึ่ง คือ กายมนุษย์ หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ในพระธรรมเทศนา เมื่อ วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๖ ว่า
"กายมนุษย์ที่ปรากฏอยู่ นั่งเทศน์อยู่นี่ นั่งฟังเทศน์อยู่นี่ นี่กาย มนุษย์แท้ๆ"
กายที่สองคือ กายมนุษย์ละเอียด หลวงพ่อกล่าวไว้ในพระธรรมเทศนา เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๖ ว่า
"แต่ว่ากายมนุษย์นี่แหละ เวลานอนหลับฝันไปก็ได้ พอฝันออกไป อีกกายหนึ่ง เขาเรียกว่า 'กายมนุษย์ละเอียด' นี่รู้จักกันทุกคนเชียวกายนี้ เพราะเคยนอนฝันทุกคน
รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร
เป็นเหมือนมนุษย์คนนี้แหละ คนที่ฝันนี่แหละ นุ่งห่มอย่างไร อากัปกิริยาเป็นอย่างไรสูงต่ำอย่างไร ข้าวของเป็นอย่างไร ก็ปรากฏ เป็นคนนี้แหละ แบบเดียวกันทีเดียว คนเดียวกันก็ว่าได้ แต่ว่าเป็นคนละคน (คนละกาย) เขาเรียกว่า 'กายมนุษย์ละเอียด' เวลานอนหลับสนิท ถูกส่วนเข้าแล้ว ก็ฝันออกไป ออกไปอีกคนหนึ่ง ก็เป็นกายมนุษย์คนนี้แหละ รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างนี้แหละ ถึงได้ชื่อว่า 'กายมนุษย์ละเอียด'
กายมนุษย์คนที่ออกไปนั่นแหละ เขาเรียกว่า กายมนุษย์ในกายมนุษย์ นี่แหละ 'กายในกาย' เห็นจริงอย่างนี้ ไม่ใช่เห็นตามเหลวไหลเห็นอย่างนี้ก็เป็นหลักเป็นพยานได้ทุกคน เพราะเคยนอนฝันทุกคน"
หลวงพ่อได้กล่าวไว้ถึงกายที่ทำหน้าที่ฝัน ในพระธรรมเทศนา เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๗ อีกว่า
"พอเข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียดเท่านั้นจะตกใจทีเดียวว่า เจ้านี้ข้าไม่เคยเห็นเลย เจ้าอยู่ที่นี่ เวลาเจ้าฝันออกไป เวลาตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเจ้า ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ไหน ข้าไม่รู้จักที่ของเจ้าว่าอยู่ที่ไหน บัดนี้ข้ามาพบ เจ้าเข้าแล้ว อยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนี่เอง กายมนุษย์ละเอียดที่ฝันออกไป
เมื่อพบเจ้าเวลานี้ก็ดีแล้ว ไหนเจ้าลองฝันให้ข้าดูสิ ฝันไปเมืองเพชร ไปในเขาวัง เอาเรื่องในเขาวังนั้นมาเล่าให้ฟังหน่อยสักนาทีเดียวเท่านั้นกาย(มนุษย์) ละเอียดฝันไปเอาเรื่องในเขาวังมาเล่า ให้กายมนุษย์ หยาบฟังแล้ว และเจ้าลองไปเอาเรื่องทางอรัญประเทศบ้าง พระธาตุพนมบ้าง มาเล่าให้ฟัง
สักนาทีเดียวเช่นกัน กายมนุษย์ละเอียดก็ฝันไปเอาเรื่องพระธาตุพนมมาเล่าให้ฟังอีก และไหนลองฝันไปเมืองเชียงใหม่ ไปเอาเรื่องดอยสุเทพมาเล่าให้ฟังอีก ไปเมืองนครศรีธรรมราช ฝันไปเอาเรื่องพระ เจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ มาเล่าให้ข้าฟังอีกเช่นกัน
นี่ฝันได้อย่างนี้ ฝันทั้งๆ ที่ตื่นๆ ไม่ใช่ฝันหลับ ฝันอย่างนี้ประเดี๋ยวเดียวได้เรื่องหลายเรื่อง ถ้าหลับฝันนานนัก กว่าจะได้สักเรื่องหนึ่ง หลายคืนจึงจะได้สักเรื่องหนึ่งบ้าง บางทีไม่ฝันเสียเลย บางทีฝันบ่อยครั้ง เอาแน่นอนไม่ได้ ให้รู้จักกายมนุษย์ละเอียด ดังนี้
ถ้าเราเป็นเช่นนี้ เราก็สนุกไม่น้อย ถ้าเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดเราก็ฉลาดกว่าคนชั้นหนึ่ง เพราะกายมนุษย์รู้เรื่องหยาบๆ เราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราจึงรู้เรื่องได้ละเอียดกว่า เรื่องลี้ลับอะไรเรารู้หมด เราไปตรวจดูได้หมดทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ไปตรวจดู ได้เอากายมนุษย์ละเอียดนี่ไปตรวจดู" อีกตอนหนึ่งในพระธรรมเทศนา เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ว่า
"เราเห็นเท่านี้ เราก็ฉลาดกว่าคนอีกชั้นหนึ่งแล้ว เขาใช้แค่กาย มนุษย์เท่านั้นแต่เราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดจะไป สืบดู เดี๋ยวก็รู้ได้ทันทีว่า คนนั้น ซื่อตรงหรือไม่ กายละเอียดบอกกายมนุษย์แล้ว นี่ฉลาดกว่ากันอย่างนี้ใช้ได้อย่างนี้ เข้าไปข้างในถามเรื่องราวจริงได้และโกหกหลอกลวงกันไม่ได้ นี่เขาเรียกว่าสัญญาสองชั้น คือมีปัญญาใน กายมนุษย์ชั้นหนึ่ง และมีปัญญาในกายมนุษย์ละเอียดอีกชั้นหนึ่ง
กายมนุษย์ละเอียดนี้รู้เรื่องมากมาย รู้แม้กระทั่งเรื่องลี้ลับต่างๆ
ที่ท่านกล่าวว่า นตฺถิ โลเก รโห นาม ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลกนั้นถูกต้องทีเดียว คือ ความลับมีแต่เฉพาะในกายมนุษย์เท่านั้นกายมนุษย์ ละเอียดไม่มีความลับ..."
เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดยังมีคุณวิเศษมากถึงเพียงนี้สามารถไปรู้เรื่องที่กายมนุษย์หยาบไม่รู้เรื่องอีกมากมาย แม้ใครจะมาโกหกไม่ ซื่อตรงอย่างใด เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดแล้วก็ สืบดูได้ว่าโกหกหรือเปล่า หลวงพ่อยังได้บอกไว้ว่า "ถ้าเราเป็นเช่นนี้ เราจะ สนุกไม่น้อย" ถ้าปฏิบัติให้เข้าถึงได้จริง ก็คงจะได้สนุกจริงอย่างที่หลวงพ่อท่านบอกไว้
นี้เป็นเรื่องของกายมนุษย์ละเอียด นับเป็นกายที่สองจาก ๑๘ กาย ที่หลวงพ่อกล่าวว่ามีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนสำหรับกายอื่นๆ หลวงพ่อกล่าวไว้ในพระธรรมเทศนา เรื่อง มหาสติปัฏฐานสูตร เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ว่า
"นี่พอเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดก็ฉลาดกว่าเท่าหนึ่งแล้วสูงกว่าเท่าหนึ่งแล้ว เข้าถึงกายทิพย์ก็สองเท่าแล้ว กายทิพย์ละเอียดก็สามเท่าแล้ว กายรูปพรหม สี่เท่า กายรูปพรหมละเอียดห้าเท่า กายอรูปพรหมหกเท่า กายอรูปพรหมละเอียดเจ็ดเท่า เข้าถึงกายธรรมและกายธรรมละเอียด แปดเก้าเท่าเข้าไปแล้ว มันมีความฉลาดกว่ากันอย่างนี้นะ ให้รู้จักว่าของสูงของต่ำอย่างนี้"
กายมนุษย์ละเอียดฉลาดกว่ามนุษย์หยาบเท่าหนึ่ง ยังสามารถไปรู้ได้ว่าใครโกหกหรือไม่โกหก แล้วถ้าได้เข้าถึง กายต่างๆ ที่ฉลาดกว่าสองเท่าสามเท่าเรื่อยไปละ จะมีความสามารถพิเศษใดๆ อีก แต่อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อได้สรุปกายเบื้องต้น ๘ กาย ไว้ใน พระธรรมเทศนาเรื่อง "สิ่งที่เป็นเกาะ เป็นที่พึ่งของตน" เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ว่า
"กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด ๘ กายนี้ อยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจัก แล้ว...ยักเยื้องแปรผันอยู่ เอาจริงเอาจังไม่ได้ ที่จะเอาจริงเอาจังได้ต้องเข้าไปถึงกายธรรม"
นั่นหมายถึงว่า กายเบื้องต้น กายนี้เป็นกายที่เหมือนเป็นทางผ่าน แม้ปฏิบัติเข้าถึงได้แล้ว มีความสามารถพิเศษกว่ากายมนุษย์หยาบเพียงใด ก็เป็นกายที่ควรละทิ้งเพราะเอาจริงเอาจังไม่ได้ แต่ควรปฏิบัติให้เข้าถึงกายธรรม