อบายมุข ๖

วันที่ 10 สค. พ.ศ.2566

10-8-66-BL.jpg

         อบายมุข ๖
                 อริยสาวกไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ เป็นไฉน ดูก่อนคฤหบดีบุตร
                           ๑. การเสพน้ำเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑
                           ๒. การเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑
                           ๓. การเที่ยวดูมหรสพ เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑
                           ๔. การเล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑
                           ๕. การคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑
                           ๖. ความเกียจคร้าน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑


                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเสพน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการ คือ
                           ๑. ความเสื่อมทรัพย์ อันผู้เสพจึงเห็นเอง ๑
                           ๒. ก่อการทะเลาะวิวาท ๑
                           ๓. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑
                           ๔. เป็นเหตุเสียชื่อเสียง ๑
                           ๕. เป็นเหตุไม่รู้จักอาย ๑
                           ๖. เป็นเหตุทอนกำลังปัญญา ๑

                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเสพน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล


                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเที่ยวไปในตรอกต่าง ๆ ในเวลากลางคืน ๖ ประการ คือ
                          ๑. เชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัว ๑
                          ๒. ชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาบุตรภรรยา ๑
                          ๓. เชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาทรัพย์สมบัติ ๑
                          ๔. เป็นที่ระแวงของคนอื่น ๑
                          ๕. คำพูดอันไม่เป็นจริงในที่นั้น ๆ ย่อมปรากฏในผู้นั้น ๑
                          ๖. ทําให้เกิดความลำาบากมาก ๑

                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเที่ยวไปในตรอกต่าง ๆ ในเวลากลางคืนเหล่านี้แล


                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเที่ยวดูมหรสพ ๖ ประการ คือ
                         ๑. รำที่ไหนไปที่นั้น ๑
                         ๒. ขับร้องที่ไหนไปที่นั้น ๑
                         ๓. ประโคมที่ไหนไปที่นั้น ๑
                         ๔. เสภาที่ไหนไปที่นั้น ๑
                         ๕. เพลงที่ไหนไปที่นั้น ๑
                         ๖. เถิดเทิงทีไหนไปที่นั้น ๑

                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเที่ยวดูมหรสพเหล่านี้แล

 
                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการ คือ
                        ๑. ผู้ชนะย่อมก่อเวร ๑
                        ๒. ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป ๑
                        ๓. ความเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน ๑
                        ๔. ถ้อยคำของคนเล่นการพนัน ซึ่งไปพูดที่ประชุมฟังไม่ขึ้น ๑
                        ๕. ถูกมิตรอำมาตย์หมิ่นประมาท ๑
                        ๖. ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย เพราะเห็นว่าชายนักเลงเล่นการพนันไม่สามารถจะเลี้ยงภรรยา ๑

                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล


                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการคบคนชั่วเป็นมิตร ๖ ประการ คือ
                        ๑. นําให้เป็นนักเลงการพนัน ๑
                        ๒. นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้ ๑
                        ๓. นำาให้เป็นนักเลงเหล้า ๑
                        ๔. นำให้เป็นคนลวงผู้อื่นด้วยของปลอม ๑
                        ๕. นำให้เป็นคนโกงเขาซึ่งหน้า ๑
                        ๖. นำาให้เป็นคนหัวไม้ ๑

                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการคบคนชั่วเป็นมิตรเหล่านี้แล

 

                 ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเกียจคร้าน 5 ประการ คือ
                        ๑. มักให้อ้างว่าหนาวนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑
                        ๒. มักให้อ้างว่าร้อนนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑
                        ๓. มักให้อ้างว่าเย็นแล้ว แล้วไม่ทำการงาน ๑
                        ๔. มักให้อ้างว่ายังเช้าอยู่ แล้วไม่ทำการงาน ๑
                        ๕. มักให้อ้างว่าหิวนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑
                        ๖. มักให้อ้างว่ากระหายนัก แล้วไม่ทำการงาน ๑

                 เมื่อเขามากไปด้วยการอ้างเลศ ผลัดเพี้ยนการงานอยู่อย่างนี้ โภคะที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความเสื่อมสิ้นไป ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเกียจคร้านเหล่านี้แล


                    พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

                    เพื่อนในโรงสุราก็มี เพื่อนกล่าวแต่ปากว่าเพื่อน ๆ ก็มี ส่วนผู้ใดเป็นสหายเมื่อความ ต้องการเกิดขึ้นแล้ว ผู้นั้นจัดว่าเป็นเพื่อนแท้

                 เหตุ ๖ ประการเหล่านี้คือ การนอนสาย ๑ การเสพภรรยาผู้อื่น ๑ การผูกเวร ๑ ความเป็นผู้ทำแต่สิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑ มิตรชั่ว ๑ ความเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่น ๑ ย่อมกำจัด บุรุษเสียจากประโยชน์สุขที่จะพึงได้พึงถึง

                    คนมีมิตรชั่ว มีมารยาทและโคจรชั่ว ย่อมเสื่อมจากโลกทั้งสอง คือ จากโลกนี้และจากโลกหน้า

                 เหตุ ๖ ประการ คือ การพนันและหญิง ๑ สุรา ๑ ฟ้อนรำขับร้อง ๑ นอนหลับในกลางวันบ้าเรอตนในสมัยมิใช่กาล ๑ มิตรชั่ว ๑ ความตระหนี่เหนียวแน่น ๑ เหล่านี้ย่อมกำจัดบุรุษเสียจากประโยชน์ที่จะพึงได้พึงถึงชนเหล่าใดเล่นการพนัน ดื่มสุรา เสพหญิง ภรรยาที่รักเสมอด้วยชีวิตของผู้อื่น คบแต่คนต่ำช้าและไม่คบหาคนที่มีความเจริญ ย่อมเสื่อมดุจดวงจันทร์ในข้างแรม ผู้ใดดื่มสุรา ไม่มีทรัพย์หาการงานทำเลี้ยงชีวิตมิได้ เป็นคนขี้เมา ปราศจากสิ่งเป็นประโยชน์ เขาจักจมลงสู่หนี้เหมือนก้อนหินจมน้ำ ฉะนั้น จักทำความอากูลแก่ตนทันที

                 คนที่ปรกตินอนหลับในกลางวัน เกลียดชังการลุกขึ้นในกลางคืน เป็นนักเลงขี้เมาเป็นนิจ ไม่อาจครอบครองเรือนให้ดีได้ ประโยชน์ทั้งหลายย่อมล่วงเลยชายหนุ่มที่ละทิ้งการงานด้วยอ้างว่า หนาวนัก ร้อนนัก เวลานี้เย็นเสียแล้ว ดังนี้เป็นต้น ส่วนผู้ใดไม่สำคัญความหนาว ความร้อนยิ่งไปกว่าหญ้า ทำกิจของบุรุษอยู่ ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากความสุข ดังนี้


                กถาว่าด้วยมิตรเทียม
                ดูก่อนคฤหบดีบุตร คน ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ คนปอกลอก ๑ คนดีแต่พูด ๑ คนหัวประจบ ๑ คนชักชวนในทางฉิบหาย ๑ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร (เป็นแต่คนเทียมมิตร)

                ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนปอกลอก ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ
                      ๑. เป็นคนคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๑
                      ๒. เสียให้น้อยคิดเอาให้ได้มาก ๑
                      ๓.ไม่รับทํากิจของเพื่อนในคราวมีภัย ๑
                      ๔. คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๑

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนปอกลอกท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ เหล่านี้แล

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร แต่เป็นคนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ
                      ๑. เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย ๑
                      ๒. อ้างเอาของที่ยังไม่มาถึงมาปราศรัย ๑
                      ๓. สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑
                      ๔. เมื่อกิจเกิดขึ้นแสดงความขัดข้อง (ออกปากจึงมิได้) ๑

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ เหล่านี้แล


               ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ
                      ๑. ตามใจเพื่อน ให้ทำความชั่ว (จะทำชั่วก็คล้อยตาม) 9
                      ๒. ตามใจเพื่อนให้ทำความดี (จะทำดี ก็คล้อยตาม) ๑
                      ๓. ต่อหน้าก็สรรเสริญ ๑
                      ๔. ลับหลังนินทา ๑

              ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล

 

              ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ
                      ๑. ชักชวนให้ดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
                      ๒. ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่าง ๆ ในเวลากลางคืน ๑
                      ๓. ชักชวนให้ดูการมหรสพ ๑
                      ๔. ชักชวนให้เล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑

              ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล


              พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้วจึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

              บัณฑิตผู้รู้แจ้งมิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรปอกลอก ๑ มิตรดีแต่พูดมิตรหัวประจบ ๑ มิตรชักชวนในทางฉิบหาย ๑ ว่าไม่ใช่มิตรแท้พึงเว้นเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทาง เว้นทางที่มีภัยเฉพาะหน้า ฉะนั้น


       กถาว่าด้วยมิตรแท้
              ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี (เป็นมิตรแท้)

              ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
                    ๑. รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑
                    ๒. รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑
                    ๓. เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ ๑
                    ๔. เมื่อกิจที่จำต้องทำเกิดขึ้นเพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า (เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก) ๑

              ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล


              ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
                    ๑. บอกความลับ (ของตน) แก่เพื่อน ๑
                    ๒. ปิดความลับของเพื่อน ๑
                    ๓. ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย ๑
                    ๔. แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ๑

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล


               ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
                     ๑. ห้ามจากความชั่ว ๑
                     ๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑
                     ๓. ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑
                     ๔. บอกทางสวรรค์ให้ ๑

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล


               ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ พึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ
                     ๑. ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน ๑
                     ๒. ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน ๑
                     ๓. ห้ามคนทีกล่าวโทษเพื่อน ๑
                     ๔. สรรเสริญคนที่ สรรเสริญเพื่อน ๑

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล 

               พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุดตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

               บัณฑิตรู้แจ้งมิตร ๔ จำพวก เหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ว่าเป็นมิตรแท้ ฉะนี้แล้ว จึงเข้าไปคบหาโดยเคารพเหมือนมารดากับบุตรฉะนั้น บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมรุ่งเรืองส่องสว่างเพียงดังไฟ เมื่อบุคคลสะสมโภคสมบัติอยู่ เหมือนแมลงผึ้งสร้างรัง โภคสมบัติย่อมถึงความเพิ่มพูนดุจจอมปลวกอันตัวปลวกก่อขึ้น ฉะนั้น คฤหัสถ์ในตระกูลผู้สามารถ ครั้นสะสมโภคสมบัติได้อย่างนี้แล้ว จึงแบ่งโภคสมบัติออกเป็น 4 ส่วน เขาย่อมผูกมิตรไว้ได้ จึงใช้สอยโภคทรัพย์ด้วยส่วนหนึ่ง จึงประกอบการงานด้วยสองส่วน จึงเก็บส่วนที่สีไว้ด้วยหมายจักมีไว้ในยามมีอันตราย ดังนี้


       กถาว่าด้วยทิศ ๖
               ดูก่อนคฤหบดีบุตร ก็อริยสาวกเป็นผู้ปกปิดทิศทั้ง ๖ อย่างไร ท่านพึงทราบทิศ ๖ เหล่านี้ คือ พึงทราบ มารดาบิดาว่าเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา บุตรและภรรยาเป็นทิศเบื้อง หลัง มิตรและอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย ทาสและกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ำ สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน

                ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรธิดาพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ
                      ๑. ด้วยตั้งใจว่า ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑
                      ๒. จักรับทำกิจของท่าน ๑
                      ๓. จักดำรงวงศ์ตระกูล ๑
                      ๔. จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑
                      ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ๑


               ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้วย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ คือ
                      ๑. ห้ามจากความชั่ว ๑
                      ๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑
                      ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๑
                      ๔. หาภรรยาที่สมควรให้ ๑
                      ๕. มอบทรัพย์ให้ในสมัย ๑

              ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดาผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องหน้านั้น ชื่อว่าอันบุตรปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้


               ดูก่อนคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวา อันศิษย์บำรุงด้วยสถาน ๕ คือ
                       ๑. ด้วยลุกขึ้นยืนรับ ๑
                       ๒. ด้วยเข้าไปยืนคอยต้อนรับ ๑
                       ๓. ด้วยการเชื่อฟัง
                       ๔. ด้วยการปรนนิบัติ ๑
                       ๕. ด้วยการเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ ๑


               ดูก่อนคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวาอันศิษย์พึงบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน ๕ คือ
                        ๑. แนะนํา ๑
                        ๒. ให้เรียนดี ๑
                        ๓. บอกศิษย์ด้วยดีในศิลปวิทยาทั้งหมด ๑
                        ๔. ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง ๑
                        ๕. ทําความป้องกันในทิศทั้งหลาย ๑

                ดูก่อนคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวาอันศิษย์บำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องขวานั้น ชื่อว่าอันศิษย์ปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้


                ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ
                        ๑. ด้วยยกย่องว่าเป็นภรรยา ๑
                        ๒. ด้วยไม่ดูหมิ่น ๑
                        ๓. ด้วยไม่ประพฤตินอกใจ ๑
                        ๔. ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๑
                        ๕. ด้วยให้เครื่องแต่งตัว ๑

                ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ คือ
                        ๑. จัดการงานดี ๑
                        ๒. สงเคราะห์คนข้างเคียงสามีดี ๑
                        ๓. ไม่ประพฤตินอกใจสามี ๑
                        ๔. รักษาทรัพย์ที่สามีหามาให้ ๑
                        ๕. ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง

              ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องหลังนั้น ชื่อว่าอันสามีปกปิดให้เกษมสําราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้


              ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย อันกุลบุตรจึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ
                       ๑. ด้วยการให้ปัน ๑
                       ๒. ด้วยเจรจาถ้อยคำเป็นที่รัก ๑
                       ๓. ด้วยประพฤติประโยชน์ ๑
                       ๔. ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ ๑
                       ๕. ด้วยไม่แกล้งกล่าว ให้คลาดจากความเป็นจริง ๑

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย อันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ คือ
                       ๑. รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว ๑
                       ๒. รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว ๑
                       ๓. เมื่อมิตรมีภัยเอาเป็นที่พึ่งพานักได้ ๑
                       ๔. ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ ๑
                       ๕. นับถือตลอดถึงวงศ์ตระกูลของมิตร ๑

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย อันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องซ้ายนั้น ชื่อว่าอันกุลบุตรปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้


               ดูก่อนคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำ อันนายพึงบำรุงด้วยสถาน๕ คือ
                       ๑. ด้วยจัดการงานให้ทำตามสมควรแก่กำลัง ๑
                       ๒. ด้วยให้อาหารและรางวัล ๑
                       ๓. ด้วยรักษาในคราวเจ็บไข้ ๑
                       ๔. ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน ๑
                       ๕. ด้วยปล่อยให้ในสมัย ๑

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำ อันนายบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ คือ
                       ๑. ลุกขึ้นทำการงานก่อนนาย ๑
                       ๒. เลิกการงานทีหลังนาย ๑
                       ๓. ถือเอาแต่ของที่นายให้ ๑
                       ๔. ทำการงานให้ดีขึ้น ๑
                       ๕. นำคุณของนายไปสรรเสริญ ๑

             ดูก่อนคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ำ อันนายบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องต่ำนั้น ชื่อว่าอันนายปกปิดให้เกษมสำราญ ไม่ให้มีภัยด้วยประการฉะนี้


              ดูก่อนคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรจึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ
                      ๑. ด้วยกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑
                      ๒. ด้วยวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑
                      ๓. ด้วยมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑
                      ๔. ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู ๑
                      ๕. ด้วยให้อามิสทานเนือง ๆ ๑

              ดูก่อนคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรบำรุงด้วยสถาน ๖ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ เหล่านี้ คือ
                       ๑. ห้ามจากความชั่ว ๑
                       ๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี
                       ๓. อนุเคราะห์ด้วยใจงาม ๑
                       ๔. ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
                       ๕. ทำสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๑
                       ๖. บอกทางสวรรค์ให้ ๑

               ดูก่อนคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรบำรุงแล้วด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ เหล่านี้ ทิศเบื้องบนนั้น ชื่อว่าอันกุลบุตรปกปิดให้เกษมสําราญให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้

                      พระผู้มีพระภาคเจ้าพระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

                  มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลังมิตรอำมาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย ทาสกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ำ สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบนคฤหัสถ์ในตระกูล ผู้สามารถพึงนอบน้อมทิศเหล่านี้ บัณฑิตผู้ถึงพร้อมด้วยศีล เป็นคนละเอียดและมีไหวพริบ มีความประพฤติเจียมตน ไม่ดื้อกระด้าง ผู้เช่นนั้นย่อมได้ยศ คนหมั่นไม่เกียจคร้าน ย่อมไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหลาย คนมีความประพฤติไม่ขาดสาย มีปัญญา ผู้เช่นนั้น ย่อมได้ยศ คนผู้สงเคราะห์ แสวงหามิตรที่ดี รู้เท่าถ้อยคำที่เขากล่าว ปราศจากตระหนี่ เป็นผู้แนะนำ ชี้แจง ตามแนะนำ ผู้เช่นนั้นย่อมได้ยศ

                การให้ ๑ เจรจาไพเราะ ๑ การประพฤติให้เป็นประโยชน์ ๑ ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลายในคนนั้น ๆ ตามควร ๑ ธรรมเครื่องยืดเหยี่ยวน้ำใจในโลกเหล่านี้แล เป็นเหมือนเพลารถอันแล่นไปอยู่ หากธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวเหล่านี้ไม่พึงมีไซร้ มารดาบิดาไม่จึงได้ความนับถือหรือความบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร เพราะบัณฑิตทั้งหลายพิจารณาเห็นธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวเหล่านี้โดยชอบ ฉะนั้น บัณฑิตเหล่านั้น จึงถึงความเป็นใหญ่และเป็นผู้อันหมู่ชนสรรเสริญทั่วหน้าดังนี้

                เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สิงคาลกคฤหบดีบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงจำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉะนี้แล

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.024196763833364 Mins