เรื่องที่ ๑๓๙ชนกระเด็น ๓ เมตร
รถทำด้วยเหล็ก ชนที่ขาซึ่งเป็นเพียงแคลเซี่ยม ทำไมจึงไม่หักและไม่มีอะไรผิดปกติเลย
คุณนริศรา โพธิ์ทอง เล่าว่า ได้มาวัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนักศึกษา หลังจากนั้นก็ได้มาวัดอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา จนกระทั่งได้มาสมัครเป็นอาสาสมัครช่วยงานวัด อยู่แผนกมัคคุเทศก์ตลอดมา แต่เดิมก่อนเข้าวัด ชีวิตมีแต่กิน นอนเล่น เต้น สะเปะสะปะหาสาระอะไรในชีวิตไม่ได้ ตามวิสัยวัยรุ่นทั่วๆ ไป ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก แต่เมื่อได้เข้ามาวัดแล้ว ได้รู้เป้าหมายชีวิต ได้มีหลักธรรมประจำใจ อุปนิสัยความประพฤติต่างๆ ก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี ทำให้ครอบครัวหายเป็นห่วง
ในที่สุด ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ พี่ชาย น้องชายก็มาเข้าวัดกันหมดทั้งครอบครัว ทำให้ทิฏฐิคนในบ้านเสมอกัน คุยกันแต่เรื่องบุญกุศล ชีวิตในบ้านจึงมีความสุขขึ้นมาก
วันที่ได้พบอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุ เป็นวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๑ เวลา ๘.๐๐ น. คุณนริศรากำลังข้ามถนนตรงหลักสี่พลาซ่า เพื่อจะไปทำงาน ก่อนจะข้ามถนนได้เห็นรถปิกอัพวิ่งมาแต่ไกล คิดว่าคงจะข้ามทัน ส่วนคนขับรถปิกอัพคันนั้นก็กลับเหยียบคันเร่ง คิดว่าจะเร่งความเร็วรถให้ผ่านหน้าคุณนริศราทัน
ปรากฏว่าต่างฝ่ายต่างเดาใจกันผิด รถกระบะจึงชนคุณนริศราที่ต้นขาข้างขวาอย่างแรง ทำให้ตัวเธอกระเด็นไปไกลถึง ๓ เมตร ส่วนตัวรถปิกอัพบุบ พัดลมหม้อน้ำหัก เสียงคนที่มองเห็นเหตุการณ์ร้องกรี๊ดกันสุดเสียง
ส่วนคุณนริศรารู้สึกตัวตลอดเวลา แม้ขณะที่ตัวกำลังลอยละลิ่วตามแรงชนนั้น รู้สึก เจ็บที่แขนขวาเล็กน้อย แต่ขณะที่ตัวหล่นฟาดลงมาที่พื้นถนน รู้สึกแปลกใจมากเพราะรู้สึกเหมือนกับว่า พื้นถนนไม่แข็งเลย โดยเฉพาะขณะที่ฟาดกับพื้น กลับไม่รู้สึกเจ็บเลย รู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างมาดันเอาไว้
จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่รถไฟช่วยนำตัวไปส่งโรงพยาบาล แพทย์และเจ้าหน้าที่พยาบาลทราบเกี่ยวกับสภาพรถแล้ว ต่างออกความเห็นกันว่า น่ากลัวอาการจะสาหัสมาก คนขับรถที่ขับชนคุณนริศรานั้นปากคอสั่น เกรงว่าคุณนริศราจะพิการ จะต้องเสียค่ารักษาและค่าเลี้ยงดูยาวนาน
หลังจากแพทย์ตรวจร่างกายและทำการเอ็กซเรย์ทั่วทั้งร่างกายแล้ว แพทย์รู้สึกงงและประหลาดใจมาก เรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ มาช่วยกันดู ไม่มีอะไรที่ผิดปกติเลย ไม่มีกระดูกหัก แม้แต่รอยแผลถลอกก็ไม่มีเลือด แต่แพทย์ก็ยังไม่ไว้ใจ จากนั้นแต่ละวันก็เจาะเลือดตรวจ เพื่อดูว่ามีเลือดคั่งในช่องท้องหรือไม่ ตรวจอยู่ตลอด แล้วค่อยๆ ห่างเป็นทุก ๒ ชั่วโมง จนห่างเป็นทุก ๔ ชั่วโมง ก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
ตรวจจนแพทย์มั่นใจมากว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน แพทย์เลิกสนใจอาการป่วย แต่กลับมาสนใจองค์พระที่คุณนริศราห้อยอยู่ที่คอแทนคือพระมหาสิริราชธาตุ พอแพทย์ทราบว่าเป็นพระจากวัดพระธรรมกาย ก็พูดออกมาตรงๆ ว่า
"ได้ทราบข่าวของวัดจากหนังสือพิมพ์ ดูข่าวทางโทรทัศน์ รู้สึกไม่ชอบใจวัดเลย"
คุณนริศราพูดแต่เพียงว่า
"ถ้าวัดปฏิบัติไม่ดีจริง พระของขวัญที่วัดมอบให้คงไม่มีอานุภาพขนาดนี้ เพราะคุณหมอก็บอกอยู่แล้วว่า รถทำด้วยเหล็ก ชนที่ขาซึ่งเป็นเพียงแคลเซี่ยม ทำไมจึงไม่หักและไม่มีอะไรผิดปกติเลย"
นอกจากนั้นคุณนริศรายังเล่าถึงความรู้สึกของตนเองเมื่อตอนเช้าวันเกิดเหตุรถชนว่า มีความรู้สึกแปลกๆ ทำให้ต้องการแต่งตัวแตกต่างไปจากวันอื่นๆ คือ นุ่งกระโปรงยาวเกือบถึงตาตุ่ม ใส่เสื้อสูทแขนยาว ใส่รองเท้าหุ้มส้น ซึ่งปกติทุกวันจะใส่กระโปรงสั้น เสื้อแขนสั้น และรองเท้าสานเป็นเส้นๆ ซึ่งหากแต่งตัวเหมือนทุกๆ วัน คงจะได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้แน่นอน เพราะรถชนกระเด็นแล้ว แรงชนยังทำให้ลากครูดไปกับถนนอีก ถ้าเป็นรองเท้าคู่ที่ใช้อยู่ปกติทุกวัน เนื้อคงจะเปิดเหวอะหวะ ส่วนเสื้อสูทมีเนื้อผ้าที่หนากว่าเสื้อธรรมดา ทำให้ป้องกันผิวหนังได้เป็นอย่างดี
ผู้เล่ายังยืนยันว่า ต้องเป็นด้วยอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุแน่นอน เพราะเธอสวดสรรเสริญท่านอยู่ทุกวันไม่เคยขาดเลย