โอวาทพระราชภาวนาวิสุทธิ์
(หลวงพ่อธัมมชโย)
วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒
ที่พึ่งอันเกษม
พระรัตนตรัยเป็นสรณะอันเกษม เป็นแหล่งกำเนิดของความสุข ความบันเทิงใจ ผู้ที่เข้าถึงแล้วจะรู้สึกปลื้มใจในรัตนะทั้งสาม คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ซึ่งเป็นรัตนะที่ประเสริฐกว่ารัตนะใดๆ ในโลก เมื่อเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย ความทุกข์ทั้งหลายก็จะดับไป ความสุขก็จะพรั่งพรูขึ้นมาแทนที่ เป็นความสุขที่ไม่มีประมาณ ที่เรียกว่า เอกันตบรมสุข คือสุขอย่างเดียว เป็นสุขที่ไม่มีทุกข์เจือปนเลย
สิ่งอื่นที่จะเสมอเหมือนหรือยิ่งไปกว่าพระรัตนตรัยไม่มีอีกแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ในทุสีลยสูตรว่า ผู้ใดมีความศรัทธาตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวในพระตถาคตเจ้า มีศีลอันงามที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และมีความเห็นตรง ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีชีวิตไม่เปล่าประโยชน์ บุคคลผู้มีปัญญา พึงตามประกอบซึ่งความศรัทธาเลื่อมใส มีศีลและการเห็นธรรม
ผู้ที่มีใจตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ได้เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่า เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย มีชีวิตไม่ว่างเปล่า เพราะได้เข้าถึงไตรสรณาคมน์ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้วก็จะนำมาซึ่งความยินดีแก่ผู้ที่ได้เข้าถึง เพชรหรือแก้วมณีเป็นรัตนะที่มีคุณค่ามากในโลกมนุษย์ ก็จะยังสู้รัตนะของพระเจ้าจักรพรรดิไม่ได้
ลักษณะของพระเจ้าจักรพรรดิ ก็มิอาจจะเทียบได้กับพระรัตนตรัย ซึ่งประเสริฐกว่ารัตนะใดๆ ในภพทั้ง ๓ พระรัตนตรัยเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา เราปฏิบัติอย่างถูกวิธีก็จะเข้าถึงได้ คือเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่ลงมือปฏิบัติ หากเว้นจากการปฏิบัติแล้ว จะเข้าถึงไม่ได้โดยเด็ดขาด
ในสมัยพุทธกาล มีบุรุษผู้มั่นคงในพระรัตนตรัยท่านหนึ่ง ชื่อว่า สุปปพุทธกุฏฐิ วันหนึ่งขณะที่ท่านฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา โดยนั่งอยู่ท้ายพุทธบริษัททั้งหลาย เพราะรู้สึกละอายที่ตนป่วยเป็นโรคเรื้อน เมื่อพระพุทธองค์ทรงเริ่มแสดงธรรม ท่านก็ตั้งใจฟังธรรมด้วยจิตที่เลื่อมใส ไม่มีความคลางแคลงสงสัยในพระรัตนตรัย และได้ปล่อยใจไปตามกระแสธรรมของพระพุทธองค์
เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน มีความปลื้มปีติที่ได้เข้าถึงรัตนะภายใน อยากจะกราบทูลพระพุทธองค์ด้วยความปลื้มใจที่ตนได้เข้าถึงพระรัตนตรัย แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปในท่ามกลางพุทธบริษัทได้ เพราะมหาชนจำนวนมากต่างก็เข้าไปกราบพระพุทธองค์
ดังนั้นท่านจึงไปสู่พระวิหารในเวลาที่มหาชนกลับกันหมดแล้ว ขณะนั้นพระอินทร์ทรงทราบว่า สุปปพุทธกุฏฐิต้องการจะประกาศคุณวิเศษที่ได้เข้าถึงต่อพระบรมศาสดา ก็ดำริที่จะทดสอบสุปปพุทธกุฏิว่ามีใจมั่นคงในพระรัตนตรัยเพียงไหน จึงประทับยืนอยู่กลางอากาศ ณ เบื้องหน้าของอุบาสก แล้วตรัสว่า ท่านเป็นคนขัดสน เป็นคนเข็ญใจ เรารู้สึกสงสารท่าน เราจะให้สมบัติอันเป็นทิพย์ที่มีค่าประมาณมิได้แก่ท่าน ขอเพียงให้ท่านกล่าวว่า พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะไม่มี และให้ท่านเลิกนับถือพระรัตนตรัยเสีย
แต่เนื่องจากสุปปพุทธกุฏฐิได้เข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว เห็นพระรัตนตรัยอยู่ในตัว เป็นพระแก้วใสบริสุทธิ์ทีเดียว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายโสดาบัน มีความสุขมาก และมีใจมั่นคงในพระรัตนตรัย จึงไม่คิดที่จะกล่าวตามคำที่พระอินทร์บอกเลย
เพราะธรรมดาของพระโสดาบัน ย่อมไม่กล่าวคำเท็จ จึงถามกลับไปว่าท่านเป็นใคร พระอินทร์ก็ตอบว่า เราคือท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สุปปพุทธกุฏฐิจึงกล่าวตอบไปว่า ท่านจะเป็นพระอินทร์หรือว่าจะเป็นใครนั้นไม่สำคัญ เพราะท่านไม่คู่ควรที่จะมาพูดกับเรา ออกไปเสียให้ห่างๆ ท่านกล่าวหาว่าเราเป็นคนขัดสน เป็นคนเข็ญใจ แต่เราไม่ใช่คนขัดสน ไม่ใช่คนเข็ญใจ เพราะเรามีอริยทรัพย์ภายใน ได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงแล้ว
อริยทรัพย์ภายในนั้นมีอยู่ ๗ ประการ คือศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะและปัญญา ทรัพย์ทั้ง ๗ ประการนี้ เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใดจะเป็นหญิงหรือเป็นชายก็ตาม พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่ขัดสน ไม่ใช่คนเข็ญใจ มีชีวิตก็ไม่ว่างเปล่า
ท้าวสักกะได้สดับถ้อยคำของอุบาสกแล้ว ก็เสด็จไปยังที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกราบทูลเรื่องการโต้ตอบกับสุปปพุทธกุฏฐิ แด่พระบรมศาสดา พระพุทธองค์ทรงรับสั่งกับท้าวสักกะว่า ถึงแม้จะมีท้าวสักกะตั้งร้อย ตั้งพัน ก็ไม่อาจทำให้อุบาสกกล่าวคำว่าพระรัตนตรัยไม่มีได้
ขณะนั้นเอง สุปปพุทธกุฏฐิก็ได้มาถึงที่ประทับของพระบรมศาสดาด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม เบิกบาน มีความร่าเริงบันเทิงใจ สว่างไสวด้วยรัศมีธรรม เพราะได้เข้าถึงพระธรรมกายพระโสดาบัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำได้ ตั้งแต่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส ได้กราบทูลการเข้าถึงไตรสรณาคมน์ของตนด้วยความปลื้มปีติแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงประทานสาธุการในความเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยแล้ว เขาก็กราบทูลลากลับไปด้วยความปลื้มใจ มีความสุข สดชื่น เบิกบาน
เพราะฉะนั้นให้เราเป็นผู้มีใจหนักแน่น มีใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปตามถ้อยคำของใคร แม้จะมีใครมาบอกให้เราเลิกทำความดี ให้เลิกนับถือพระรัตนตรัย ให้เลิกปฏิบัติธรรม ให้เลิกทำใจหยุดใจนิ่ง ก็อย่าได้ไขว้เขว ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจอะไร ให้ดูแบบอย่างการกระทำของนักสร้างบารมีในกาลก่อนว่าท่านทำของท่านอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น เพื่อเราจะได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง
การทำความดีในยุคนี้ เราจะต้องทวนกระแสกิเลส ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ทั้งอุปสรรคที่เกิดจากคนรอบข้าง และอุปสรรคที่เกิดจากตัวของเราเอง คือกิเลสอาสวะภายใน แต่เมื่อใดที่เราได้เข้าถึงพระรัตนตรัย ปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายก็เป็นเรื่องเล็ก ไม่มีอะไรที่จะมากระทบกระเทือนจิตใจของเราได้ ใจเราก็จะไม่กระเพื่อม
เหมือนอย่างอุบาสกสุปปพุทธกุฏฐิ เมื่อได้เข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว สมบัติแม้จะมากมายเพียงใด ก็ไร้ความหมาย เพราะทรัพย์ภายนอกไม่อาจจะมาเปรียบเทียบได้กับอริยทรัพย์ภายใน อริยทรัพย์ภายในย่อมประเสริฐกว่าโลกียทรัพย์ภายนอก เหมือนอัญมณีอันล้ำค่า ย่อมทรงคุณค่าเหนือกว่าก้อนกรวดก้อนหิน เพราะฉะนั้นให้ทุกๆ คนอย่าได้ไปใส่ใจกับอุปสรรค ให้เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไปทุกๆ คนนะ