ใครจะเป็น "เหยื่อสื่อ" รายต่อไป.???
.....ทุกวันนี้ เพราะการเสพข้อมูลอย่างไร้สติ ไม่ค้นหาความจริง ไม่รู้หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการวินิจฉัยเรื่องราวต่างๆ อย่างถูกต้องตามตามกฎหมาย ตามธรรมวินัยสงฆ์ และตามธรรมเนียมปฏิบัติ ทำให้ประชาชนตกเป็นเครื่องมือทำลายพระพุทธศาสนา ของคนบางกลุ่มได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว !!!
.....ยิ่งกว่านั้น การตกเป็นเครื่องมือแต่ละครั้ง ยังกลายเป็นการช่วยกันสร้างบรรทัดฐานผิดๆ ให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขึ้นมาล้มล้างพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
.....เพราะพวกที่กล่าวร้าย รู้ว่าประชาชนมีจุดอ่อนอยู่ 5 เรื่อง คือ
.....1. ไม่รู้ขั้นตอนด้านกฎหมาย ใครอ้างกฎหมายก็เชื่อหมด ทั้งที่จริงวิธีตัดสินคดีของฝ่ายกฎหมาย ก็ใช้วิธีตัดสินตามรูปแบบ คำพิพากษาที่เคยตัดสินไว้ก่อนหน้า หรือที่เคยมีมาแต่อดีต ซึ่งถือเป็นการตัดสินที่หยาบมาก เพราะมองแต่ด้านพยาน และหลักฐานที่มีผลทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว ส่วนผลกระทบอื่นๆ ที่ไม่มีผลทางด้านกฎหมาย ไม่นำมาร่วมพิจารณาด้วย ทำให้เกิดช่องโหว่ให้คนกล่าวร้ายได้
.....2. ไม่รู้ขั้นตอนด้านธรรมวินัย ใครอ้างพระลิขิตก็เชื่อหมด ทั้งที่จริงแล้ว การออกพระลิขิตเพื่อโจทก์อาบัติปาราชิก ข้ามนิกาย ข้ามวัด ข้ามสังฆกรรม เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ถือว่าผิดทั้งด้านกฎหมาย ด้านธรรมวินัย และด้านธรรมเนียมปฏิบัติ และยังเป็นการออกพระลิขิตในขณะที่ คดีสงฆ์ยังอยู่บนศาลสงฆ์ชั้นต้นอีกด้วย ถือว่าแสดงความคิดเห็นส่วนตัวอย่างผิดขั้นตอน ดังนั้น เมื่อคุณสมบัติของผู้โจทก์ไม่ถูกต้อง การใช้อำนาจผิดขั้นตอนเช่นนี้ แล้วจะมีผลทางกฎหมายได้อย่างไร จะทราบว่าเนื้อความที่กล่าวโจทก์ เป็นความจริงได้อย่างไร ในเมื่ออยู่กันคนละวัด คนละนิกาย
.....3. ไม่รู้ผลกระทบว่าการตัดสินคดีสงฆ์แต่ละครั้ง นั่นคือการสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่ส่งผลกระทบ ต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนา เช่น ถ้ากฎหมายตัดสินว่า การบริจาคเงินทำบุญให้กับวัดคือการฟอกเงิน ก็เท่ากับว่า ใครมา บริจาคเงินสร้างศาลาสร้างกุฏิให้วัดทีละมากๆ วัดๆ นั้นก็มีโอกาสจะถูกดำเนินคดีกฎหมาย ฟอกเงินได้ทันทีเช่นกัน นี่คือการใช้อำนาจกฎหมายสร้างบรรทัดฐานขึ้นมา ทำลายประเพณีการสั่งสมบุญ ของชาวพุทธ ทำลายการทำนุบำรุง วัดวาอารามในพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว
.....4. ไม่รู้หลักธรรมแม่บทในพระพุทธศาสนา ใครอ้างว่าวัดพระธรรมกายสอนผิดก็เชื่อหมด ทั้งที่จริงพระพุทธ เจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสารไปได้ ต้องบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ และบารมีที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ ทานบารมี ยิ่งสั่งสมทานบารมีมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีเสบียงติดตัวข้ามภพข้ามชาติไป ทำให้การทำความดีในภพชาติต่อๆ ไปสะดวกสบายยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องมาห่วงกังวลเรื่องปากเรื่องท้อง จึงมีเวลาที่จะทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้มากขึ้น กว่าการเกิดมาเป็นคนลำบากยากจน
.....5. ไม่รู้สถานการณ์เป็นตายของ พระพุทธศาสนาว่าอ่อนล้าเต็มที วัดแต่ละวัดต้องดิ้นรนหา งบประมาณเลี้ยงตัวเอง และที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ 323 วัด ที่อยู่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งไม่มีงบประมาณลงไปช่วยเหลือ และยังถูกปองร้ายรายวัน ชาวพุทธในพื้นที่ถ้าไม่ถูกบีบให้เปลี่ยนศาสนา ก็จำเป็นต้องย้ายหนี อพยพไปอยู่ที่อื่น
.....ตลอดสิบกว่าปีมานี้ ญาติโยมของวัดพระธรรมกาย ได้ร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของอุปโภคบริโภค เพื่อส่งไปช่วยเหลือพระภิกษุและครูในพื้นที่เสี่ยงภัย คิดเป็นงบประมาณไม่ต่ำกว่า 700-800 ล้าน ที่ทุ่มเทลงไปให้กับผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ท่ามกลางเสียงกร่นด่าค่อนขอด ของคนไม่เข้าใจว่าเป็นพวกบ้าบุญ โดยไม่ได้พิจารณาความจริงว่า เงินและสิ่งของที่ญาติโยมวัดบริจาคมานั้น ไม่ได้มากองอยู่ที่วัดพระธรรมกาย แต่ส่งไปหล่อเลี้ยงวัดใน ภาคใต้ทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาให้ยังอยู่ บนด้ามขวานทองของไทยมากว่าสิบปีแล้ว
.....ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมวัดนี้ถึงขยันทำบุญ ที่ขยันทำบุญ ก็เพราะต้องการค้ำยันพระพุทธศาสนา ให้ผ่านพ้นสถานการณ์ ความเป็นตายครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะไม่ต้องการเห็นพระพุทธศาสนาดับสูญ ไปในยุคที่เรายังมีชีวิตอยู่
.....พวกที่กล่าวร้ายรู้ว่าประชาชนส่วนใหญ่มีจุดอ่อน 5 เรื่องนี้ จึงใช้ความไม่รู้ 5 เรื่องนี้ ปลุกปั่นสร้างสถานการณ์โจมตีได้ง่าย ทำให้เวลาเราแก้ข้อกล่าวหาแต่ละครั้ง ทั้งที่เขาเข้าใจผิดเราแค่เรื่องเดียว 2 แต่เราต้องมานั่งอธิบายใหม่หมดถึง 5 เรื่อง
.....ฟังแล้วจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจก็ไม่รู้ล่ะ แต่ยังไงก็ต้องอธิบาย อย่างน้อยก็เพื่อต้องการเตือนสติว่า จะด่าใครตามน้ำแต่ละที ควรจะหาความจริงกันบ้าง ไม่ใช่ด่าเอามันผสมโรง เอาความสะใจเพียงอย่างเดียว เดี๋ยวจะกลายเป็นเครื่องมือ ของผู้อ้างกฎหมาย เพื่อทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว
Cr. Ptreetep Chinungkuro