สถานที่เกิดด้วยกายธรรม วัดโบสถ์บน จ.นนทบุรี
วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อยฝั่งตะวันตก ตำบลบางคูเวียง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งยังอนุรักษ์โบราณสถานไว้ในสภาพสมบูรณ์ ประวัติความเป็นมาและผู้สร้างวัดโบสถ์บนบางคูเวียง ไม่แน่ชัด แต่มีเรื่องเล่าที่ปรากฏในหนังสือวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม 2 (พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2526) ว่าพระมหากษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเคยเสด็จมาประทับอยู่บริเวณที่ตั้งวัดนี้ ภายหลังทรงยกที่ดินให้สร้างเป็นวัด โดยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถาวรวัตถุที่เป็นศิลปกรรมแบบอยุธยา มีเอกลักษณ์ คือ พระอุโบสถเป็นรูปทรงเรือสำเภา อันหมายถึงการเดินทางสัญจรและการค้าในอดีต สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2300 ในสมัยอยุธยาได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2310
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ณ วัดโบสถ์บนภิกษุหนุ่มนามว่า สด จนฺทสโร เป็นผู้ที่สนใจในการเรียนด้านวิปัสสนาเป็นชีวิตจิตใจนับจากวันแรกที่บวช ท่านได้เรียนวิปัสสนากับพระอาจารย์โหน่ง อินฺทสุวณฺโณ ตลอดพรรษาแรก นอกจากนี้ท่านยังหาความรู้ด้านวิปัสสนาเพิ่มเติมจากตำรา โดยส่วนใหญ่อ่านจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ถ้าวันไหนหยุดเรียนคันถธุระ ท่านมักจะไปหาพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนา เพราะต้องการหาความรู้เพิ่มเติม สมัยที่ท่านเรียนอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ได้รู้จักกับหลวงพ่อนก จึงไปเยี่ยมหลวงพ่อนกที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง หลวงพ่อนกมักให้ท่านไปเทศน์แทนอยู่เสมอกิจวัตรที่ท่านทำเป็นประจำเวลาไปอยู่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง คือ เวลาบ่ายสองโมงท่านจะเข้าไปปฏิบัติสมาธิ(Meditation)ในโบสถ์ บรรยากาศในสมัยนั้น รอบโบสถ์มีต้นไม้มาก เป็นป่าล้อมรอบ มีความเงียบสงัดไปทั่วบริเวณ ท่านจึงไป ๆ มา ๆ ที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง อยู่เป็นประจำ เมื่อท่านหยุดเรียนด้านคันถธุระแล้ว จึงมุ่งปฏิบัติด้านวิปัสสนาธุระอย่างจริงจัง
ในขณะนั้นท่านต้องการที่จะไปจำพรรษาที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง เพราะต้องการจะตอบแทนพระคุณของเจ้าอธิการชุ่ม (เจ้าอาวาสวัดโบสถ์บน บางคูเวียง ในสมัยนั้น) ซึ่งเคยถวายคัมภีร์มูลกัจจายน์และคัมภีร์พระธรรมบทให้ท่านได้เรียนพระปริยัติธรรม ด้วยการช่วยแสดงธรรมให้แก่พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ในวัด ท่านจึงกราบลาท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ เดินทางไปจำพรรษาที่วัดโบสถ์บน บางคูเวียง ในพรรษาที่ 12
เมื่อถึงกลางพรรษา ท่านก็มีความคิดว่า “ในเมื่อเราตั้งใจจริง ๆ ในการบวช จำ เดิมอายุ 19 ปี เราปฏิญาณตนบวชจนตาย ขออย่าให้ตายในระหว่างก่อนบวช บัดนี้ก็ได้บอกลามาถึง 15 พรรษา ย่างเข้าพรรษานี้แล้ว ก็พอแก่ความประสงค์ของเราแล้ว บัดนี้ของจริงของแท้ที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ท่านเห็นเรายังไม่ได้บรรลุ ยังไม่รู้ไม่เห็น สมควรแล้วที่จะต้องกระทำ อย่างจริงจัง” (ตั้งแต่อายุ 19 ปี)
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 (ปี พ.ศ. 2460) เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่ก็เข้าไปนั่งสมาธิเจริญภาวนาในพระอุโบสถ ขณะนั้นเวลาประมาณแปดโมงเศษ ๆ ท่านเริ่มทำความเพียร โดยตั้งใจว่า หากยังไม่ได้ยินเสียงกลองเพลจะไม่ยอมลุกจากที่ เมื่อตั้งใจดังนั้นแล้วก็หลับตาภาวนา “สัมมา อะระหัง” ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งความปวดเมื่อยและอาการเหน็บชาค่อย ๆ เพิ่มทีละน้อย ๆ และมากขึ้นจนมีความรู้สึกว่ากระดูกทุกชิ้นแทบจะระเบิดหลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ จนเกือบจะหมดความอดทน ความกระวนกระวายใจก็ตามมา ท่านรำพึงในใจว่า “เอ..แต่ก่อนเราไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย พอตั้งสัจจะลงไปว่า ถ้ากลองเพลไม่ดังจะไม่ลุกจากที่ เหตุใดมันจึงเพิ่มความกระวนกระวายใจมากมายอย่างนี้ ผิดกว่าครั้งก่อน ๆ ที่นั่งภาวนา เมื่อไรหนอกลองเพลจะดังสักที” คิดไปจิตก็ยิ่งแกว่งและซัดส่ายมากขึ้น จนเกือบจะเลิกนั่งหลายครั้ง แต่เมื่อได้ตั้งสัจจะไปแล้วท่านก็ทนนั่งต่อไป ในที่สุดใจก็ค่อย ๆ สงบลงทีละน้อย แล้วรวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน เห็นเป็นดวงใสบริสุทธิ์ขนาดเท่าฟองไข่แดงของไก่ ในใจชุ่มชื่นเบิกบานอย่างบอกไม่ถูกความปวดเมื่อยหายไปไหนไม่ทราบ ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงกลองเพลก็ดังขึ้น วันนั้นพระเดชพระคุณหลวงปู่มีความสุขตลอดทั้งวัน ดวงธรรมขั้นต้นซึ่งเป็นดวงใสก็ยังเห็นติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายตลอดเวลา
*คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย แปลว่า ธรรมะนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต
ขอเชิญทุกท่านร่วมงานบุญโครงการธรรมยาตรา ปีที่ 8 ดังนี้..
อาทิตย์ 19 ม.ค. 2563 16.00 น. พิธีต้อนรับพระธรรมยาตรา 1,136 รูป
ศุกร์ 24 ม.ค. 2563 14.00 น. สังฆทาน @วัดตะเคียน
17.00 น. พิธีจุดประทีปบูชาธรรมเเละลอยกระทงธรรม
เสาร์ 25 ม.ค. 2563 7.00 น. พิธีตักบาตร
อนุโมนาบุญร่วมกันครับ / ค่ะ