ความกตัญญูทำให้เกิดปัญญาได้อย่างไร
หลวงพ่อทัตตชีโว : ความกตัญญูเป็นต้นเหตุสำคัญทีเดียวที่จะทำให้คนเกิดปัญญา ซึ่งในที่นี้อยากจะยกตัวอย่างขั้นต้นก่อน พระสารีบุตร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแขนขวาของพระองค์ทีเดียว เลิศด้วยปัญญา ตลอดชีวิตของพระสารีบุตร ท่านมีแต่ความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องได้เคยบันทึกเอาไว้ในพระไตรปิฎก ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านเคยมีครูอยู่ในศาสนาอื่น ต่อมาท่านก็พบว่าคำสอนในลัทธิศาสนานั้นช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ ท่านก็ลาอาจารย์เที่ยวแสวงหาอาจารย์ใหม ่จนกระทั่งมาเจอพระอรหันต์รูปหนึ่ง พระอรหันต์รูปนั้นสอนพระสารีบุตรสั้นๆ แล้วท่านก็ได้บรรลุธรรม ขั้นต้นเป็นพระโสดาบัน
พอบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านรีบไปหาอาจารย์เก่าของท่าน พยายามไปชักชวนให้อาจารย์เก่า ของท่านไปหา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้พ้นทุกข์ตามมา ท่านไปด้วยอำนาจแห่งความกตัญญูกตเวทีของท่าน แต่น่าเสียดายครูเก่าของท่าน ไม่ยอมไป ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าพระสารีบุตรท่านทำสุดฝีมือแล้ว
จากนั้นมา เมื่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ทุกคืนก่อนที่ท่านจะจำวัด ท่านจะต้องนั่งเข้าที่ทำสมาธิตรวจดูก่อนว่า อาจารย์ของท่านที่เป็น พระอรหันต์ไปประกาศศาสนาอยู่ทางทิศไหน ไปโปรดชาวโลกอยู่ทางทิศไหน เมื่อพบแล้วท่านก็หันศีรษะ ไปทางนั้นก่อนนอน กราบเสร็จก็หันศีรษะไปทางครู คือ ถ้าทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยก็เอาอวัยวะส่วนที่สูงที่สุดในร่างกายคือศีรษะหันไปบูชาครูก็ยังดี นี่คือจิตใจของท่าน
อะไรที่ทำให้กับครูบาอาจารย์ท่านได้ ท่านทำเต็มที่ ถ้าวันนั้นทำไม่ได้ อย่างน้อยหันศีรษะไปบูชาครูก่อนนอนก็ยังดี นี่คือจิตใจของท่าน และนี่เป็นนิสัยติดตัวของท่านมาข้ามภพข้ามชาติ คือมากด้วยความกตัญญูกตเวทีข้ามภพข้ามชาติมา มาชาตินี้จึงยิ่งด้วย ปัญญากว่าพระสาวกองค์อื่น
ทีนี้ ถามว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมความกตัญญูจึงทำให้มีปัญญาขึ้นมาได้ ดูง่ายๆ อย่างนี้ คือพระคุณของคนที่ทำกับเรา ใครทำความดี ใครช่วยเหลือ ใครเกื้อกูลเรามาก่อน นั่นคือพระคุณที่เราได้รับ ทีนี้ เพราะได้รับพระคุณอย่างนั้น ทำให้บางคนเมื่อได้พระคุณที่เขาทำมา ทำให้รอดชีวิตบ้าง บางทีก็ทำให้ได้ ความรู้เพิ่มเติมบ้าง ได้ธรรมะเพิ่มเติมบ้าง ได้ความดี ความสามารถเพิ่มเติมบ้าง ซึ่งความรู้ ความดี ความสามารถ เหล่านี้เงินซื้อไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของเรา ใครจะเอาสมบัติทั้งโลกมาแลก เราก็ไม่เอา เราเอาชีวิตดีกว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ เมื่อใครมีพระคุณต่อเรา จำไว้เลยว่าพระคุณนั้น ใช้ไม่หมด เมื่อใคร มีพระคุณต่อเราแล้ว ใช้ท่านไปตลอดชีวิต ถ้ายังไม่ตาย ท่านยังไม่ตาย หรือเรายังไม่ตาย มีโอกาสเป็นต้องตอบแทนพระคุณกัน
แม้ที่สุดท่านตายแล้ว เรายังอยู่ก็ต้องหาทางตอบแทนพระคุณ เช่น ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็ยังดี และการที่เราจะต้องเค้นศักยภาพในตัวของเราไป ตอบแทนพระคุณท่านตลอดชีวิตนี่แหละ มันทำให้เราต้องเค้น สติปัญญาขึ้นมา สะสมสติปัญญาเพิ่มพูน เค้นสติปัญญาที่มีแต่เดิมเอามาหาทางตอบแทน พระคุณท่านซึ่งเคยมีต่อเรา เพียงท่านใดท่านหนึ่งมีพระคุณต่อเรา เราก็ถูกบังคับให้ต้องเค้นสติปัญญาขึ้นมา เพื่อหาทางไปตอบแทนพระคุณท่าน
และสติปัญญาเป็นของแปลก ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม ไม่ใช่ยิ่งใช้ยิ่งลด เหมือนอะไร ก็เหมือนกับนักกีฬา ยิ่งออกกำลังกายยิ่งเหนื่อย ยิ่งได้กำลังกายเพิ่มขึ้น ทำนองเดียวกัน เราเค้นสติปัญญาออกมามากเท่าไร เพื่อหาทางตอบแทนพระคุณท่าน สติปัญญาของเราก็เพิ่มพูนขึ้นมาเท่านั้น
แต่คนเรา กว่าจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ได้ ก็ได้รับพระคุณจากผู้อื่นมานับบุคคลไม่ไหวทีเดียว ตั้งแต่พ่อแม่ ตลอดไปจนกระทั่งลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตาทวด นั่นสายหนึ่งแล้ว นับไม่ถ้วนทีเดียว สาย ครูบาอาจารย์ นับอีกไม่ไหวทีเดียว กว่าจะจบการศึกษามาได้ โบราณเรานับจนกระทั่งถึงแม้เป็นวัว ควาย ที่มาช่วยไถนาให้เรา ยังถือว่าเป็นสัตว์มีพระคุณเลย เมื่อผู้มีพระคุณต่อเราที่เป็นคนและสัตว์มีคุณต่อเรา ก็ยังนับไม่ไหวอย่างนี้ ตกลงทั้งชาติคนที่มีความกตัญญูกตเวทีแล้ว แทบจะทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเรื่องการหาช่องทางทุ่มเทสติปัญญา ความรู้ความสามารถไปตอบแทนคุณ มันก็เลยเพิ่มพูนสติปัญญาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
...คนที่มีความกตัญญูกตเวทีแล้ว แทบทุกลมหายใจเข้าออก เรื่องการหาช่องทางทุ่มเมสติปัญญาความรู้ความสามารถไปตอบแทนคุณ มันก็เลยเพื่มพูนสติปัญญาขึ้นมาโดยอัติโนมัติ...