บุคคลต้นยุควิชชา
เรื่อง : บ.ธรรมาวุธ
แม้เราท่านทั้งหลายจะไม่ได้เกิดในยุคของหลวงปู่ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย แต่ก็ นับว่ายังโชคดี ที่เราได้พบเจอบุคคลในยุคต้นวิชชา คือ ผู้ที่ได้อยู่ในยุคของหลวงปู่ จึงทำให้ได้ซักถามและ ซึมซับรับฟังเรื่องราว อันทรงคุณค่าในอดีต ซึ่งเป็นเรื่องราวที่หาฟังได้ยากอย่างยิ่ง และในฉบับนี้เราจะ ได้รับฟังเรื่องราวอานุภาพ คุณธรรม และคุณวิเศษของหลวงปู่จากบุคคลยุคต้นวิชชาอีกท่านหนึ่ง คือ พระเดชพระคุณพระเมธีรัตโนดม เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี ซึ่งแม้กาลเวลาจะผ่านไปยาวนานเพียงใด แต่ความทรงจำนั้นยังประทับอยู่ในใจของท่านไม่มีวันลืมเลย
"อาตมาอยู่วัดปากน้ำ ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๘ หลวงพ่อท่านสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมขึ้นมาหลังหนึ่ง ๓ ชั้น โดยใช้เงิน ๓ ล้านในสมัยนั้น หลังใหญ่ที่สุด ในฝั่งธนบุรี เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่ใหญ่ที่สุด ไม่มีใครเทียบเท่าได้ แล้วก็อยู่สบายที่สุด พระเณรตั้ง ๕๐๐-๖๐๐ รูป ไม่ต้องบิณฑบาต หลวงพ่อ (หลวงปู่วัดปากน้ำ) ท่านเลี้ยงได้หมด หลวงพ่อท่าน ตั้งใจที่จะส่งเสริมให้พระเณรได้เรียนฝ่ายปริยัติ ส่วน ฝ่ายปฏิบัติหลวงพ่อท่านลงสอนเองเลย ในปีที่อาตมา ไปอยู่ เป็นปีแรกที่หลวงพ่อเปิดสำนักเรียน อาตมาเป็นนักเรียนรุ่นแรกของวัดปากน้ำในสมัยนั้นเลย หลวงพ่อจะให้กำลังใจดีมาก ท่านส่งเสริมการเรียน อย่างดียิ่ง ยิ่งเป็นสามเณรตัวเล็กๆ หลวงพ่อท่านให้ ความเมตตาเป็นพิเศษ เริ่มจากการฉันข้าว ท่านก็จะ จัดสามเณรเล็กๆ นั่งใกล้ๆ ท่าน แล้วท่านจะคอยดู อาหาร คือ โยมเขามาถวายอาหารท่านเยอะ ท่านก็ ส่งต่อ คอยส่งภัตตาหารให้สามเณรวงโน้นวงนี้ ท่าน มีอย่างไรก็แจกอย่างนั้น แล้วท่านก็คอยสนับสนุนสามเณร ให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หากคนไหนสอบได้ เปรียญธรรม ๓ ประโยค ท่านก็จะจัดที่ฉันไว้ให้ต่างหากเป็นพิเศษ คือ ท่านจะยกย่องว่าสามเณรเปรียญนั่งฉันตรงนี้ แล้วสามเณรและพระที่ปฏิบัติได้ ดวง ได้วิชชาธรรมกาย ท่านก็จะจัดที่นั่งไว้อีกต่างหาก ท่านให้เกียรติอย่างนี้ ทำให้พระเณรตั้งใจเรียนกันมาก
หลวงปู่ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม
หลวงพ่อท่านเป็นพระมหาเถระที่เอาใจใส่พระเณร ในวัด ท่านจะเดินตรวจตลอด ถึงเวลากลางคืนท่าน จะเดินตรวจพระเณรว่าอยู่กันอย่างไร โดยที่เราไม่ค่อยจะรู้กันเลย เพราะหลวงพ่อจะไปเงียบๆ เช้ามืด ก็เหมือนกัน ตี ๕ หลวงพ่อจะออกตรวจวัด ดูพระ ดูเณร วันหนึ่งอาตมานั่งท่องหนังสืออยู่ที่เสาไฟฟ้า หน้ากุฏิ อยู่ๆ หลวงพ่อท่านก็เดินมาถามว่า "เณรๆ อยู่ที่ไหนนี่" ผมก็ชี้ว่าอยู่ที่โรงงานนั้นแหละครับ โรงงานนี่เป็นที่ทำงานของนายช่างที่มาสร้างโรงเรียน พระปริยัติ ๓ ชั้น ท่านก็ถามต่อว่า "ไม่มีที่อยู่หรือ" อาตมาก็บอกไปว่า "มีครับ อยู่ที่โรงงานตรงนั้นครับ" แล้วก็ยังชี้ไปที่เดิมในโรงงาน ท่านก็นิ่ง ไม่พูดอะไร อยู่ต่อมาไม่กี่วัน หลวงพ่อก็สั่งให้สร้างกุฏิให้เณรอยู่ เป็นกุฏิ ๒ แถวมุงแฝก หลวงพ่อท่านมีเมตตาสูงมาก ท่านอนุเคราะห์ทั้งอาหาร ทั้งที่อยู่ ให้เรามาตลอด แล้วท่านก็เคยพูดว่าตั้งใจเรียนกันนะ อยู่นี่ต้องเรียน ไม่เรียนไม่ได้ เรียนอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียนปริยัติก็ได้ หรือจะเรียนปฏิบัติก็ได้ ถ้าใครเรียนทั้ง ๒ อย่างด้วย ก็ยิ่งดี แล้วท่านก็ให้กำลังใจ ท่านบอกว่าการศึกษาทำคนให้เป็นคน ชีวิตคนถ้าไม่ได้เรียนรู้อย่างนี้ ก็เหมือนชีวิตนก ชีวิตกา ยังไม่อาจจะจัดว่าเป็นสัตว์ประเสริฐได้ ต้องศึกษาเรียนรู้จึงจะเป็นคนที่สมบูรณ์ ต้องตั้งใจเรียน แล้วจะสร้างฐานะของเราให้ดีขึ้น ทางศาสนาก็มีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็แล้วแต่บุญวาสนา คนไหนจะเรียนได้อย่างไรก็แล้วแต่บุญวาสนา แต่ต้องเรียน นี่ท่านย้ำเลย ท่านให้โอวาทอย่างนี้...
พระมหาเถระผู้ทรงคุณวิเศษอัศจรรย์
หลวงพ่อท่านเป็นพระมหาเถระที่ทรงคุณวิเศษ น่าอัศจรรย์มาก อาตมาได้พบเห็นกับตัวเอง จากการ ที่ได้รับใช้ช่วยงาน เวลาท่านรับแขก ครั้งหนึ่งตอนนั้น อาตมากำลังนั่งฉันเพลอยู่ใกล้ๆ กับหลวงพ่อท่าน อยู่ๆ ก็มีแม่ชีเข้ามาหาท่าน และบอกว่า "หลวงพ่อ เจ้าขา ข้าวสารจะหมดแล้วนะเจ้าคะ มีฉันอีกไม่กี่วัน หรอกเจ้าค่ะ" พอฟังเสร็จท่านก็นั่งหลับตาพักเดียว ท่านก็ลืมตาขึ้น แล้วก็บอกว่า "เออ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็มี พวกแกน่ะเตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน" สักพักเดียวอาตมาก็เห็นตาแป๊ะคนหนึ่ง แกนุ่งกางเกงขาก๊วย เข้าไปหาหลวงพ่อ แล้วก็บอกว่า "หลวงพ่อ อั้วะเอาข้าวมาถวาย จะให้เอาไว้ที่ไหนดี ข้าวอยู่ในเรือ" หลวงพ่อท่านก็บอกให้พระ เณร แม่ชี ไปช่วย กันขนข้าวอยู่ในเรือเป็นสิบๆ กระสอบเลย นี่ก็เป็นอานุภาพของหลวงพ่อ ท่านที่อาตมาเห็นจริงๆ กับตา และทันตาด้วย วันหนึ่งหลวงพ่อมาพูดในโบสถ์ว่า "พวกแกไม่ต้องกลัวอด วิชชาธรรมกาย จะเลี้ยงพวก แกได้ตลอดไป วิชชาของเราเป็นวิชชาที่จริง ขอให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมเป็นพระแท้ แล้วก็จะไม่มีวันอด" ท่านว่าอย่างนี้ ได้ยินได้ฟังมากับหู แล้วก็ไม่อดจริงๆ
หลวงปู่ผู้ปราบโรคภัย
อาตมาหาทางไปทำงานช่วยท่าน อยากอยู่ใกล้ๆ อยากให้หลวงพ่อรัก เพราะว่าเราน่ะไม่มีที่พึ่งพิงเลย อยากให้หลวงพ่อรักเมตตา อาตมาก็เลือกทำงาน ตรงที่ท่านรับแขก ไปช่วยเก็บกระโถนเทบ้าง กวาดแถวนั้นบ้าง อาตมาจึงได้เห็นอานุภาพของหลวงพ่อ ในช่วงที่ท่านรับแขก ซึ่งช่วงเย็นจะมีญาติโยมไปพบ ท่าน หลังจากที่หลวงพ่อท่าน ทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว แต่ละคนไปถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรเลย เล่าให้ ฟังว่า หนูเป็นโรคนั้น โรคนี้ มีอาการอย่างนั้น อย่างนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านก็บอกว่า "เออ..เขียนมาว่า มีอาการของโรคเป็นอย่างไรบ้าง" ท่านให้เขียนชื่อ นามสกุลไปใส่ตู้ไว้ ตู้อยู่หน้ากุฏิของท่าน อาตมาและเพื่อนๆ ก็ไปช่วยกันเก็บจากตู้ แล้วเอาไปใส่ในโถ เอาไว้ให้หลวงพ่อ แล้วท่านก็จะนำไปส่งในโรงงาน ทำวิชชา เอาไปแก้ให้ในโรงงาน อาตมากับเพื่อนๆ ก็เคยคุยกันว่า หลวงพ่อท่านจะรักษาอย่างไรนะ ก็ในเมื่อคนป่วยเขาก็อยู่กันคนละที่ แค่เขียนอาการไว้ มีอยู่วันหนึ่งอาตมาก็เห็นคนป่วย ซึ่งหามกันมาหาหลวงพ่อ อาตมานั่งอยู่ห่างๆ จึงได้ยินไม่ค่อยชัด แต่พอจับใจความได้ว่า โยมไปโรงพยาบาลแล้วหมอ ก็รักษาให้แต่ไม่หาย และคำสุดท้ายหมอบอกว่า ให้เตรียมตัวเตรียมใจ โยมก็เลยคิดถึงที่พึ่งสุดท้าย จึงมาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มาให้หลวงพ่อรักษา พอพบหลวงพ่อแล้วท่านก็บอกว่า "ไปพักอยู่กับแม่ชี ก่อน" อาตมาก็ไม่ทราบว่าหลวงพ่อรักษาอย่างไร ไม่รู้เลย อยู่ๆ ก็เห็นโยมลุกขึ้นนั่งได้ แล้วก็ปฏิบัติธรรม ไป อยู่ๆ มาโยมนั้นลุกเดินกลับบ้านไปเลย คือว่าหายอย่างน่าอัศจรรย์ ขนาดโรงพยาบาล ไม่รับแล้ว แต่หลวงพ่อรักษาให้หายได้ ...
อานุภาพพระของขวัญ
หน้าที่อีกอย่างหนึ่ง...ตอนอยู่ดูแลที่รับแขกของ หลวงพ่อ คือเก็บดอกมะลิ เวลาใครไปกราบหลวงพ่อ จะต้องมีดอกมะลิไปด้วย เพราะหลวงพ่อท่านบอกว่า ดอกมะลิเป็นดอกไม้บริสุทธิ์ สีก็สวย กลิ่นก็สะอาด ท่านถือว่าดอกมะลิเป็นดอกไม้บูชาพระ อาตมาก็ทำหน้าที่เก็บดอกไม้ที่เขาถวายหลวงพ่อมาตากแดด ให้แห้ง แล้วก็บดให้ละเอียด เพราะว่าหลวงพ่อท่านจะให้นำมาผสมในพระของขวัญ ส่วนเส้นผมอาตมาจะมีหน้าที่เก็บเส้นผมของท่านเวลาท่านปลงผม โดยจะต้องมีหนังสือพิมพ์รองปูพื้นไว้เพื่อจะเก็บเส้นผมทุกเส้นไว้
พระของขวัญนั้น หลวงพ่อท่านเคยสั่งเอาไว้ว่า มีองค์เดียวก็พอแล้ว ท่านให้ไปรับเฉพาะตัว คนละองค์ รับไปเผื่อกันไม่ได้ เพราะว่าทุกองค์มีเจ้าของ ถึงหายไปก็ให้ไปอธิษฐานเอาเอง ตั้งจิตอธิษฐานเอาเดี๋ยวก็กลับมาเอง ท่านสั่งของท่านไว้อย่างนั้น อาตมาก็เคยพบเห็นกับตา ครั้งหนึ่งมีโยมคนหนึ่ง ไปหาหลวงพ่อวัดปากน้ำ ไปขอรับพระของขวัญ หลวงพ่อท่านก็ถามว่า "อ้าว..เคยให้ไปแล้วไง" โยมก็ บอกว่า "มันหายไปแล้วครับหลวงพ่อ ผมน่ะอยาก ได้อีกสักองค์หนึ่ง" หลวงพ่อก็บอกว่า "ไม่ได้หรอกต้องไปอธิษฐานเอา เดี๋ยวก็กลับมาเอง" น่าอัศจรรย์ คนมารับพระท่านก็หลายหมื่นคน แต่ท่านก็ยังจำได้ ว่าท่านให้คนนี้ไปแล้ว หลวงพ่อท่านกล่าวว่า พระ ของท่านเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ทำเพื่อเป็นธุรกิจการค้า แต่เพื่อเป็นของขวัญให้กำลังใจแก่ผู้ที่มีศรัทธา จะได้ระลึกนึกถึงบุญได้ ...
คุณธรรมของหลวงปู่ พระผู้ปราบมาร
หลวงพ่อท่านเป็นพระมหาเถระที่เป็นต้นแบบของความประหยัด ท่านเลี้ยงพระเลี้ยงเณรได้เยอะแยะแต่ส่วนตัวท่านประหยัด ซึ่งอาตมาได้เคยพบเห็นคุณธรรมข้อนี้ของท่าน โดยสังเกตจากลูกศิษย์ก้นกุฏิ ของท่าน ที่ชื่อโยมประยูร ซึ่งโยมท่านนี้จะเดินติดตาม หลวงพ่อเสมอๆ อย่างเช่น ในเวลาหลวงพ่อฉันเช้า ฉันเพล ลุงประยูรก็จะเดินตาม อยู่มาวันหนึ่ง อาตมา เห็นโยมประยูรนั่งเย็บจีวร ก็เลยเข้าไปถามว่า "โยมทำ อะไร" โยมก็บอกว่า "เย็บจีวรให้หลวงพ่อวัดปากน้ำ" "แล้วจีวรเป็นอะไรหรือ" "อ้อ..มันขาดตรงตะเข็บ ก็ เย็บให้หลวงพ่อท่านน่ะสิ" ตอนนั้นอาตมาก็นึกว่า "โอ้หลวงพ่อของเรานี่ท่านประหยัด ขนาดจีวรขาดท่านยังเย็บใช้" อยู่มาวันหนึ่งก็ได้เห็นอีก โยมประยูร นั่งเย็บรองเท้าฟองน้ำ ก็ถามว่า "โยมทำอะไร" ทั้งๆ ที่เห็นก็ชวนคุยและโยมก็บอกว่า "เย็บรองเท้าให้หลวงพ่อท่านน่ะสิ" "รองเท้าเป็นอะไรหรือ" "ก็หัว รองเท้าหลุด จึงเอาหัวมาใส่ใหม่ แล้วก็เย็บให้เหมือนเดิม" อาตมาฟังแล้วก็ศรัทธาว่า หลวงพ่อของเรานี่ไม่ธรรมดา ท่านเป็นต้นแบบจริงๆ ท่าน เป็นสุดยอดพระผู้ประหยัดในการใช้สิ่งของต่างๆ แม้กระทั่งพระ เณร สอบได้ที่ ๑ ที่ ๒ สอบเปรียญได หลวงพ่อท่านจะมีผ้าไตรแพรอย่างดีถวาย แต่ว่า ตัวท่านเองกลับใช้ของที่ปะแล้วปะอีก ถึงแม้จะมีโยม มาสร้างตึกให้ท่านอยู่ ชื่อว่า ตึกมงคลเทพมุนี แต่ว่าท่านไม่อยู่ ยังคงอยู่กุฏิเดิมของท่าน
ผู้เห็นคุณค่าของเวลา
นอกจากท่านจะประหยัดแล้ว คุณธรรมอีกอย่าง ที่พบเป็นประจำทุกวันคือเรื่องเวลา ท่านจะรักษา เวลามาก จะตรงเวลาจริงๆ ถึงเวลาตีระฆังฉันเช้า ฉันเพล ท่านก็จะเดินนำหน้าพระเณร หลวงพ่อท่าน ไม่ฉันที่กุฏิ เช้าก็ไปลงฉันที่ศาลา เพลก็ไปฉันที่ศาลา ท่านจะเดินนำหน้าภิกษุ สามเณร ทั้งหลายเป็นประจำ ในการทำวัตรสวดมนต์เหมือนกัน ออกจาก ศาลาฉันเสร็จ ท่านจะเข้าโบสถ์เลย ให้โอวาทกับพระภิกษุ สามเณร วันละเล็กละน้อยทุกวัน เรื่องลง อุโบสถเหมือนกัน ปาฏิโมกข์หลวงพ่อก็ไม่ขาดเลย ท่านจะลงเป็นประจำ จะมีพระผู้สวด แล้วหลวงพ่อ วัดปากน้ำจะนั่งประนมมือฟังพระสวดปาฏิโมกข์ ตอนนั้นอาตมาเป็นเณรมองไม่เห็น แต่พระที่ลงโบสถ์ มาเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อท่านไหว้พระผู้สวดปาฏิโมกข์ แม้พระผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของท่านเองในวัด ท่านให้ความสำคัญเหมือนเป็นตัวแทน พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังกล่าวเกี่ยวกับเรื่องสิกขาบท ข้อวัตรปฏิบัติที่พระภิกษุจะพึงกระทำมีอะไรบ้าง หลวงพ่อเคารพในพระธรรมวินัยอย่างยิ่ง คุณธรรมของท่านนั้นมีอยู่มากมาย...
หล่อหลอมให้รักการปฏิบัติธรรม
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านจะมีวิธีการทำให้ พระเณรรักการปฏิบัติธรรม ให้เราอยากปฏิบัติธรรมด้วยตัวของเราเอง คือเกิดฉันทะ เกิดความปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะนั่งธรรมะ โดยหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านพูดว่า ใครอยากเรียนเก่งต้องฝึกสมาธิ ทำสมาธิแล้วจะเรียนเก่ง ความทรงจำจะดี เรื่องนั่งสมาธิหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านชอบมาก และท่านจะดีใจเมื่อเห็นสามเณรเล็กๆ ไปนั่งสมาธิกัน โดยท่านจะแสดงอาการยิ้มนิดๆ แล้ว ก็แนะนำว่า "เณรนั่งดีๆ นะ นั่งตัวตรงๆ ตั้งตัวตรง อย่าพิงฝา ตั้งกายให้ตรง ทำใจให้ดี วิชชานี้จะช่วยนะ เป็นวิชชาวิเศษทำให้เรียนดี ถ้าใครทำสมาธิได้จะเรียนได้ จะสอบได้ ชีวิตอนาคตจะสดใส" หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านพูดอย่างนี้ อาตมาจึงอยากนั่งสมาธิ อยากเรียนเก่ง ก็ไปปฏิบัติธรรมทุกๆ วัน ๑ ทุ่มจะไปนั่งในโบสถ์กับหลวงพ่อวัดปากน้ำ ปฏิบัติธรรมด้วยกัน การปฏิบัติธรรมในโบสถ์นั้นจะมีทั้งพระ เณร แม่ชี เข้าไปในโบสถ์ ก็นั่งกันคนละฝั่ง คนไหนได้วิชชาธรรมกายก็อยู่ใกล้ๆ หลวงพ่อวัดปากน้ำ แล้ว ท่านจะสอนวิธีปฏิบัติตามฐานทั้ง ๗ ท่านจะเน้นศูนย์กลางกาย จุดกึ่งกลางกายเหนือสะดือ ๒ นิ้วมือ ให้เพ่งตรงนั้น หยุดตรงนั้น หยุดน่ะเป็นตัวสำเร็จ นึกให้เห็นดวงให้ได้ใจจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ถ้าใครหยุดใจ ได้จะปรากฏเป็นดวงใสแจ่มโตเท่ากับแก้วตา ขยาย โตเท่ากับดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ใสสะอาดเหมือนเพชร ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว นี่ก็เป็นคำพูดของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านจะพูดอย่างนี้ อยู่เสมอ ทำให้เราอยากปฏิบัติธรรม ...
นิทานของหลวงปู่วัดปากน้ำ
ในสมัยที่อาตมาอยู่ที่วัดปากน้ำนั้น มีพระ มีเณร แม่ชี อยู่รวมกันพันกว่าคน ไม่มีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกันเลย มีความสามัคคี ต่างเคารพเชื่อฟังกันตามวัยวุฒิ ตามคุณวุฒิ สามเณรทุกรูปที่ไปอยู่วัดปากน้ำนั้นจะต้องอย ู่ในปกครองของพระองค์ใด องค์หนึ่ง การอยู่ก็เป็นเขตกั้น ตั้งแต่หน้าวัดไป เป็นเขตแม่ชี ห้ามพระ เณรไปทางโน้น โบสถ์มาถึงนี่ เป็นเขตพระ เณร ห้ามแม่ชีผ่านทางนี้ ต่างก็แยกกันอยู่คนละฝั่งอย่างสันติ อยู่กันอย่างฉันพี่ฉันน้อง อาตมาชอบนิทานของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจะเล่านิทานอยู่เรื่องหนึ่ง นิทานเรื่องสัตว์ ๓ ตัว ก็มี ช้าง ลิง นกกระทา ท่านเล่าว่า มีช้างตัวหนึ่งไป อาศัยต้นไทรต้นหนึ่งอยู่สุขสบาย เพราะอยู่ตัวเดียวไม่ต้องไปวุ่นวายกับใคร อยู่ต่อมาวันหนึ่ง มีลิงน้อยน่ารักตัวหนึ่งมาอาศัยอยู่ด้วย ก็เริ่มมีปัญหา เริ่มทะเลาะกัน เริ่มแย่งที่ สัตว์ทั้ง ๒ เริ่มทะเลาะกัน ต่อมามีนกกระทาตัวหนึ่งมาอาศัยอยู่ที่ต้นไทรนั้นด้วย คราวนี้ก็ทะเลาะกันใหญ่เลย ก่อนนอนก็ทะเลาะกัน ตื่นนอนทะเลาะกันอีก ก่อนจะไปหากินก็ทะเลาะกัน ต่อมาสัตว์ทั้ง ๓ ก็มาประชุมกันเลือกว่าใครจะเป็นหัวหน้า ต่างก็มีความเห็นตรงกันว่า หัวหน้าจะต้อง มีอายุมาก แล้วจะเอาอะไรเป็นเกณฑ์ เอาว่า ช้าง ลิง นกกระทา ใครเกิดก่อนกัน โดยเอาต้นไทรเป็นเครื่องตัดสิน ระหว่างช้างกับต้นไทรใครเกิดก่อน ระหว่างลิงกับต้นไทรใครเกิดก่อน ระหว่างนกกระทา กับต้นไทรใครเกิดก่อน สรุปแล้วนกกระทาเป็นพี่ใหญ่ และในที่สุดสัตว์ทั้ง ๓ ตัว ก็อยู่กันอย่างสงบสุข เช้าออกไปหากิน ลิงซึ่งเป็นพี่คนกลาง ก็นั่งบนหลังช้างซึ่งเป็นน้องเล็กแต่ตัวใหญ่ นกกระทาก็จะนั่งบน ไหล่ลิง เรียงกันตามลำดับอาวุโส สัตว์ ๓ ตัวไปหากินในป่า เย็นกลับมาก็พักที่ต้นไทรนั้น อยู่กันอย่างสงบไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันอีกเลยนี่ หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังสนุกมาก แล้วท่านก็ชอบเล่าบ่อยๆ เพื่อจะตอกย้ำซ้ำเดิมอาตมาเลยจำได้...
ต่อไปวิชชาธรรมกายจะครอบคลุม
ทั้งประเทศ ครอบคลุมทั้งโลก
อาตมามีความสุขมากที่ได้อยู่ ใกล้ชิดคอยรับใช้หลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเคยพูด ไว้ว่า "พวกแกคอยดูต่อไปเถอะ วิชชาธรรมกายต่อไป จะคลุมทั้งประเทศ" คำว่า คลุมทั้งประเทศ คือจะ ทำให้ผู้มีบุญทั้งประเทศตื่นตัวสนใจที่จะปฏิบัติธรรม และท่านบอกต่ออีกนะว่า "ถ้าตั้งใจปฏิบัติกันจริงๆ จะคลุมได้ทั้งโลกเลย" เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างที่หลวงพ่อ ท่านเคยพูดไว้ อาตมาได้ยินเรื่องการตักบาตรพระเป็นหมื่นๆ แสนๆ และเรื่องดาวธรรมไปต่างประเทศ อาตมานึกถึงที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านพูดว่า วิชชาของท่านจะครอบคลุมทั้งประเทศ ทั้งโลก ซึ่งเดี๋ยวนี้ ก็เป็นจริงๆ " วิชชาธรรมกาย เป็นวิชชาเป็น ไม่ใช่ วิชชาตาย คือมีชีวิต มีแต่ความเจริญงอกงาม มีชีวิต มีชีวา ไม่ใช่ของตาย ตั้งใจรักษาแล้วจะครอบคลุมทั้งประเทศ ครอบคลุมทั้งโลก "
แม้พวกเราทั้งหลายจะเกิดไม่ทันในยุคของท่าน แต่เราได้เกิดทันในยุคที่จะหล่อรูปกายของท่านด้วยทองคำ ซึ่งเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งจะเป็นผลให้วิชชาธรรมกายขยายไปได้ทั่วประเทศ ทั่วโลก อย่างรวดเร็ว ดังนั้นในวันศุกร์ที่ ๑๐ ตุลาคม นี้ เราจะรักษา กาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส เพื่อเตรียมรับบุญใหญ่จากการหล่อหลวงปู่ด้วยทองคำ และทุ่มเทชีวิตจิตใจสร้างมหาทานบารมี อันยิ่งใหญ่อย่างสุดกำลัง