สัมภาษณ์พิเศษ
: ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์e-mail : r_lock072yahoo.com Photo by : Wong Sa Pat
ทุกคน รักพ่อแม่แต่จะมีสักกี่คน ที่สามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ท่านได้เพราะแม้ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ดีที่สุด นั้นคืออะไร
..หากรักท่านที่สุดจริงๆ โปรดอ่านเรื่องนี้ซ้ำๆเพราะเรื่องนี้ จะทำให้รู้ถึงวิธีรัก และการตอบแทนความรักที่จะทำให้ไม่ต้องกลับมาเสียใจใดๆ เลย...
"หมอเป็นคนหนึ่งที่เกิดในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย คุณแม่ก็ลำบาก มาตั้งแต่ท่านยังเล็กๆ และหลังจากคุณพ่อคุณแม่ แต่งงานมีลูกแล้ว ฐานะทางครอบครัวก็ยังไม่ดีขึ้น พ่อจึงต้องดิ้นรนทำหลายอาชีพ ทำให้หมอเห็นความลำบาก ของท่านทั้งสอง มาตั้งแต่ต้น ที่ต้องอดทนทำทุกอย่างเพื่อให้หมอมีอนาคต ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หมอรักท่านมาก และฝังใจลึกๆ ว่า หมอจะต้องเลี้ยงดูท่านเป็นอย่างดี และคิดเสมอว่า ..สักวันหมอจะต้องให้สิ่งที่ดี ที่สุดกับพ่อแม่ให้ได้ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ หรอกว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่ว่านั้นคืออะไร!! จากสำนวนภาษาจีนกลางที่ใช้เป็นชื่อเรื่อง น่าจะเป็นประโยคจำกัดความที่เหมาะกับอายุรแพทย์ท่านนี้ คุณหมอเอกชัย วงศ์สรรคกร ผู้กำหนดอนาคต ด้วยพลังแห่งความรักและความกตัญญูที่มีต่อ พ่อแม่ จนเราต้องขออนุญาตมา นั่งคุยด้วยคน...
ด้วยเหตุนี้หมอจึงพยายามตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่เที่ยวเล่นอย่างเด็กทั่วไป เพราะคิดว่า การที่เราจะสามารถ เป็นผู้ให้ในสิ่งที่ดีที่สุดกับพ่อแม่ได้ เราต้องทำตัวเรา..ให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดก่อน ซึ่ง เบื้องต้นก็คือการตั้งใจเรียน เพื่อปูทางไปสู่อาชีพที่ดี จนกระทั่งหมอสมปรารถนา คือ สอบเข้าแพทย์จุฬาฯ ได้ จากนั้นก็ได้ทำกิจกรรมชมรมพุทธฯ ควบคู่ กับการเรียน และตัดสินใจบวชธรรมทายาทในช่วง Summer เป็นการบวชเพื่อแทนคุณพ่อแม่ เพราะเหตุนี้ ทำให้หมอเปลี่ยนจากผู้รู้จัก พระพุทธศาสนาเพียงผิวเผิน มาเป็นผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา อย่างลึกซึ้งจริงจัง ได้ฝึกสมาธิจนพบกับความสงบ และมีความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อนจากความสุขนี้เอง ทำให้หมอนึกถึงคนที่หมอรักที่สุด ก็คือ พ่อกับแม่ เพราะทั้งชีวิตท่านลำบาก มีแต่ความทุกข์ใจมาตลอด จะพบความสุขกาย ก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่สุขใจอย่างนี้ ท่านยังไม่เคยพบ หมอจึงอยากให้ท่าน ได้เข้ามาสัมผัสความสุขตรงนี้
และนับจากนั้นเอง หมอจึงได้ชวนท่านมาวัดทุกอาทิตย์ โดยขึ้นรถรับส่งฟรีของวัด ตั้งแต่ยุคที่ยังเป็นรถบัสสีขาว ที่เรียกกันว่ารถนายเลิด เมื่อมาถึงวัด ก็รู้สึกอุ่นใจ มีความสุข ที่ได้เห็นพ่อแม่มาทำบุญ มานั่งสมาธิ จากความรู้สึกตรงนี้เอง
หมอคิดว่า ..เส้นทางนี้แหละ จะเป็นเส้นทางแห่งความสุขที่ดีที่สุด สำหรับพ่อแม่ ที่หมอควรจะมอบให้ท่านตลอดไป ด้วยเหตุนี้ทำให้หมอคิดวางแผนชีวิตไว้ว่า หลังเรียนจบแล้ว หมอจะมาซื้อบ้านใกล้วัด มาทำงานใกล้วัดและใกล้บ้าน เพื่อให้ครอบครัวเรามาวัดกันง่ายขึ้น จนในที่สุดหมอก็สมปรารถนา และสามารถพาพ่อแม่มาวัด ทุกวันอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า ๖ ปีแล้ว...
เพราะวันอาทิตย์หมอถือว่าเป็นวันครอบครัว เป็นวันที่พ่อแม่จะรู้กันว่า หมอเคลียร์งานเพื่อให้เวลากับท่าน โดยเฉพาะพ่อ ดูท่านมีความสุขและดีใจกว่าคนอื่นๆ คือจะรีบตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งชุดขาวเสร็จก่อนใครเป็นชั่วโมง จากนั้นก็หอบข้าวหอบของไปวัดกัน หมอเองก็จะถือเก้าอี้พิงตัวใหญ่ ของพ่อด้วยมือข้างขวา ถือเก้าอี้พิงตัวเล็กสำหรับแม่ ด้วยมือข้างซ้าย ไว้ให้ท่านนั่งสมาธิ ส่วนแม่ก็จะถือตระกร้าใส่อาหาร ส่วนพ่อก็ถือเสื่อ ดูเหมือนจะพะรุงพะรัง แต่ก็เป็นการพะรุงพะรังที่ทำให้ทุกคนมีความสุข และเมื่อนึกถึงภาพนี้ทีไร หมอก็รู้สึกปลื้มทุกครั้ง
แต่ ณ วันนี้ พ่อของหมอได้เสียชีวิตไปแล้ว หมอก็เหลือแต่แม่ ที่ยังคงพาท่านมาวัด ทุกอาทิตย์ไม่ขาด แต่หมอต้องเพิ่มความเอาใจใส่ กับแม่มากขึ้น เพราะท่านก็อยู่บ้านตามลำพัง ฉะนั้นทุกเที่ยง หมอจะขับรถกลับไปทานข้าว กับท่านที่บ้าน เพราะ แม่จะทำกับข้าวไว้รอ และช่วยท่านกวาดบ้านถูบ้าน จากนั้นค่อยกลับมาตรวจคนไข้ใหม่ ซึ่งการดูแลท่านอย่างใกล้ชิดอย่างนี้ ทำให้บ้านเราแม่ลูกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแต่การดำเนินชีวิตเช่นนี้ตลอด ๖ ปี ทำให้หมอพบความจริงบางอย่างว่า แม้หมอเองจะรักษาอาการป่วย ของพ่อแม่อย่างดีที่สุด ดูแลท่านอย่างใกล้ชิด ให้เวลาท่าน ให้เงินทองท่านมากมาย สักปานใดก็ตาม ก็ช่วยทำให้มีความสุขในชาตินี้เท่านั้น
แต่การที่หมอชวนท่านมาวัด ได้มานั่งสมาธิทุกวันอาทิตย์กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นการทำให้ท่านค่อยๆ ซึมซับและเข้าใจธรรมะ ที่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้เอง โดยเราไม่ต้องบอกอะไรท่านมาก เพราะบางครั้งในฐานะลูก ท่านไม่ต้องการให้เราไปสอน แม้วิธีนี้จะใช้เวลายาวนานสักหน่อย กว่าท่านจะเข้าใจธรรมะ แต่ก็เป็นความยาวนานที่คุ้มค่า เพราะสุดท้ายท่านจะมีที่พึ่งพิงทางใจ มีความสุขแม้ลูกไม่ได้อยู่ใกล้ๆ และท่านจะรู้จักการทำชีวิต ให้มีความสุขทางใจได้ด้วยตัวเอง ดังจะเห็นได้จากคุณแม่ ที่ได้เปิดดูรายการธรรมะ ถ่ายทอดผ่านจานดาวเทียม ที่เรียกกันว่าจานดาวธรรมช่วงที่หมอไม่อยู่ และสวดมนต์ ทำวัตร บูชาเจดีย์ หน้าทีวีเองทุกวัน
หรือจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในกรณีของ คุณพ่อหมอเอง เพราะใน ๖ ปีสุดท้ายก่อนท่าน จะเสียชีวิต ท่านล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง หมอได้พาท่านมาวัดทุกอาทิตย์ มานั่งสมาธิกับหลวงพ่อ มาทำบุญไม่ขาดเลย และในวาระสุดท้าย แม้ท่านจะได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส แต่พ่อก็มีที่พึ่งทางใจ ผิดกับคนไข้บางราย ที่มาหาหมอในวาระสุดท้าย จะพบว่าจิตใจมีแต่ความวิตกกังวล กระสับกระส่าย ไขว่คว้าหาที่พึ่งอย่างไร้จุดหมาย เป็นเพราะเขาไม่เคยถูกฝึกให้คุ้นกับธรรมะเลย ตรงจุดนี้ทำให้เห็นข้อแตกต่างได้ชัดเจนเลยว่า การพาพ่อแม่มาวัดเป็นประจำ เป็นการทำให้ท่านนึกถึงบุญได้ง่าย เพราะเป็นบุญที่เป็นอาจิณกรรม แม้ท่านจะละโลก ก็จะทำให้ท่านไปสู่ภพภูมิที่ดี ดังนั้นการพาท่านมาวัด เป็นเรื่องที่ลูกกตัญญูทุกคนพึงกระทำอย่างยิ่ง เพื่อช่วยท่านในวาระสุดท้ายของชีวิต
หรือในบางครอบครัว ที่คุณพ่อคุณแม่ยังไม่เข้าใจในเรื่องพุทธศาสนา เรื่องการเข้าวัดเลย ก็อย่าพึ่งหมดกำลังใจว่า ชาตินี้เราคงจะชวนท่านมาวัดไม่ได้ เราต้องคิดซะว่า..หากความรักความกตัญญู ที่เรามีให้ท่านมากเกินพอ ก็จะไม่มีอะไร ที่เราจะทำเพื่อให้ท่านได้สิ่งที่ดีที่สุดไม่ได้ เพราะความรัก ความกตัญญูตรงนี้แหละ จะเป็นขุมพลังที่จะทำให้เราหา วิธีการอันชาญฉลาดที่ไม่สิ้นสุด ในการชวนท่านให้มาวัดได้ ให้สมดั่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสอนไว้อย่างชัดเจนว่า การจะตอบแทน คุณพ่อแม่ได้หมดนั้น มีวิธีการเดียวคือ ต้องทำให้ท่านศรัทธา ในพุทธศาสนา ทำให้ท่านหันมาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อให้ท่านมีธรรมะเป็นที่พึ่ง..."
ลูกทุกคนรักพ่อแม่ แต่จะมีสักกี่คนที่รักแล้วสามารถ มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับท่านได้ และสิ่งที่ดีที่สุดในที่นี้ ไม่ใช่เงิน หรือเวลาเท่านั้น เพราะเงินและเวลา เป็นสิ่งสามัญที่ลูกทุกคนพึงให้ท่านมากๆ อยู่แล้ว แต่เราต้องมอบสิ่งที่จะประกันได้ว่า ชีวิตในภพชาติเบื้องหน้า ของท่านจะไม่ลำบาก ไม่ตกนรก และมีภพภูมิที่ดีเป็นที่ไป เหมือนกับลมหายใจสุดท้ายที่สงบสุขของพ่อ และลมหายใจที่ดำเนินไปอย่างมีความสุขของแม่ ดังเช่น เรื่องนี้...