วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ ต้นกำเนิดเศรษฐกิจโลก

 


           สวัสดีปีใหม่ แล้วก็ขออนุโมทนาที่พวกเราได้ตั้งใจมาอยู่ธุดงค์เปิดศักราชใหม่ โดยพร้อมหน้าพร้อมตากันด้วยจ้ะ

           เนื่องจากเป็นวันขึ้นปีใหม่ จึงอยากจะให้พวกเรามองภาพรวมๆ จากวันนี้ไปจนถึงวันสิ้นปีว่า เราจะวางแผนชีวิตของเราอย่างไรดี เพื่อในการสร้างบารมีต่อไปในอนาคต เราจะได้อุดรูรั่วเสีย ตั้งแต่วันปีใหม่กัน

           สำหรับเรื่องที่หลวงพ่อจะนำมาพูดวันนี้ คือเรื่องของ การไม่เห็นโทษภัยแม้ในสิ่งที่เล็กน้อย ซึ่งได้ส่งผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

           พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ใน "อัคคัญญสูตร"เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจว่า ปัญหาสำคัญของมนุษย์ตั้งแต่ยุคต้นกัปเป็นต้นมาก็คือ ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง ซึ่งเป็นปัญหาที่มนุษย์ ทุกยุคทุกสมัย พยายามที่จะแก้ไขกันตลอดมา แต่ก็ยังแก้ไขกันไม่ตก

           บางครั้งบางสมัยไม่รู้จะทำอย่างไร เลยต้องรบราฆ่าฟันกัน จนกลายเป็นสงครามโลกก็มี เพราะฉะนั้นเราลองมาศึกษากันดูสิว่า ปัญหานี้เริ่มต้นเกิดความผิดพลาดจากการที่มองไม่เห็น โทษภัยแม้เพียงเล็กน้อยในเรื่องใด

           พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงมนุษย์ยุคแรกที่มาเกิดว่า เป็นพวกที่จุติมาจากอาภัสรพรหม คือเมื่อตอนเป็นมนุษย์ พอรู้ว่าไฟบรรลัยกัลป์กำลังจะไหม้โลก ก็เกิดความกลัว พากันนั่งสมาธิภาวนาจนกระทั่งได้ปฐมฌาน ละโลกแล้วก็เลยไปเกิดเป็นพรหมชั้นอาภัสรพรหม มีรัศมีสว่างไสวออกมา จากกาย ไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่าง ใดๆ เลย

           โลกของเราถูกไฟบรรลัยกัลป์เผาไหม้เป็นหมอกเพลิงอยู่นับล้านๆ ปี หลังจากนั้นฝนก็ตกลงมา แล้วน้ำก็ท่วมโลกอยู่อีกเป็นล้านๆ ปี โลกจึงค่อยๆ เย็นลงๆ แล้วมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเรียกว่า ง้วนดิน

           ง้วนดินนี้มีกลิ่นหอมมาก จนทำให้พวก อาภัสรพรหมที่กำลังบุญใกล้จะหมด ทนไม่ไหว ต้องเหาะลงยังพื้นโลก

           ในพระไตรปิฎกบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อสัตว์ เหล่านั้น พยายามที่จะเอามือปั้นง้วนดิน ทำเป็นคำ เพื่อที่จะบริโภค เมื่อนั้นรัศมีเฉพาะตัวของสัตว์เหล่านั้นก็หายไป เมื่อรัศมีเฉพาะตัวหายไป พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นมา เมื่อพระจันทร์ พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นมา หมู่ดาวนักษัตรก็ปรากฏ เมื่อหมู่ดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวัน ก็ปรากฏ เมื่อกลางคืนกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่ง กึ่งเดือนหนึ่งก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่ง กึ่งเดือนหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว ฤดูและปีก็ปรากฏ เป็นอยู่อย่างนี้เป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งประมาณไม่ได้

           คือเนื่องจากกายของอาภัสรพรหมขณะนั้นยังมีลักษณะเป็นทิพย์อยู่ ง้วนดินเลยซึมเข้าไปได้ง่าย จากที่เคยเป็นกายละเอียดจึงกลายเป็นกายหยาบขึ้นมา ทำให้เหาะกลับพรหมโลกไม่ได้ ซึ่งก็เป็นการเกิดขึ้นของมนุษย์ยุคต้นกัปที่เรียกว่า เกิดแบบ โอปปาติกะ

           แต่แทนที่อาภัสรพรหมเหล่านั้นจะได้คิด แล้วรีบหาวิธีที่จะทำให้กลับไปเป็นพรหมเหมือนเดิม กลับพากันบริโภคง้วนดินเป็นอาหาร และได้ดำรงตน อยู่เช่นนั้นตลอดกาลอันยาวนาน

           ต่อมา จากกายที่เป็นทิพย์ก็กลายเป็นกึ่งกายทิพย์กึ่งกายเนื้อ ความมีผิวพรรณวรรณะเริ่มปรากฏขึ้นมา โดยบางพวกมีผิวพรรณดี บางพวกมีผิวพรรณทราม

           คือใครกินง้วนดินซึ่งเป็นธาตุหยาบเข้าไปมากๆ รวมกับกรรมที่เคยเป็นคนเจ้าโทสะในอดีตชาติ ผิวพรรณวรรณะของเขาก็เลยทราม

           ส่วนพวกที่ไม่มีกรรมโทสะในอดีต แล้วก็ไม่ใช่พวกตะกละตะกลามจนเกินไปนัก ผิวพรรณวรรณะจึงยังคงผ่องใสอยู่

           เมื่อผิวพรรณวรรณะเริ่มต่างกันอย่างนี้ แทนที่จะได้คิด บรรดาผู้ที่มีผิวพรรณดี กลับพากันดูหมิ่นเหยียดหยามผู้ที่มีผิวพรรณเลวกว่า

           การดูหมิ่นเหยียดหยามแค่เรื่องผิวพรรณ นี้เอง ได้ทำให้เกิดผลร้ายขึ้นมาในโลก โดยที่คนในยุคนั้นไม่รู้ตัว คือผู้ที่ไปดูถูกดูหมิ่น พูดจาถากถางเขาแล้ว ก็เกิดความชื่นอกชื่นใจ แต่ความจริงไม่ใช่ความชื่นอกชื่นใจหรอก เพราะจริงๆ แล้วแม้ใจของผู้พูดเองก็เริ่มร้อนขึ้นมาเหมือนกัน

           และที่ร้อนยิ่งกว่านั้น ก็คือใจของคนที่ถูก ดูหมิ่นเหยียดหยาม แล้วบรรยากาศแห่งความร้อน อันเกิดจากการไม่ระวังวาจา ก็เกิดขึ้นมาในโลก มีผลทำให้ง้วนดินหายไป

           เมื่อง้วนดินหายไป กระบิดิน ก็ปรากฏขึ้น มาแทน กระบิดินนี้มีคุณภาพด้อยกว่าง้วนดิน แต่ก็ยังใช้บริโภคเป็นอาหารได้

           หลังจากบริโภคกระบิดินเป็นอาหาร ตลอดกาลยาวนาน ร่างกายที่เป็นกึ่งกายทิพย์กึ่งกายเนื้อ ก็หยาบขึ้นๆ แต่ว่ายังไม่มีเลือด เพียงแค่ค่อยๆ มีความเป็นเนื้อเป็นหนังปรากฏขึ้นมาเท่านั้น

           เพราะฉะนั้น ความแตกต่างในเรื่องผิวพรรณ ก็มีมากขึ้น และนับวันการดูหมิ่นเหยียดหยามกัน ก็ยิ่งรุนแรง จึงมีผลทำให้กระบิดินหายไป แล้ว เครือดิน ก็ปรากฏขึ้นมา

           เมื่อมนุษย์เหล่านั้นบริโภคเครือดินเป็นอาหารนานเข้าๆ ความเป็นเนื้อเป็นหนังก็ยิ่งปรากฏชัดมากกว่าเดิม การเปรียบเทียบ การ ดูหมิ่นเหยียดหยามกันในเรื่องผิวพรรณ ก็รุนแรง ยิ่งขึ้นไปอีก แล้วเครือดินก็อันตรธานไป เกิดเป็น ข้าวสาลี ขึ้นมาแทนที่

           แค่การพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกันในเรื่องผิวพรรณวรรณะ ยังไม่ได้เตะ ไม่ได้ต่อย ไม่ได้ตบ ไม่ได้ตี ไม่ได้ด่าทอกันสักหน่อย ยังมีผลทำให้เกิดความเสียหายถึงขนาดนี้

           ข้าวสาลีนี้บังเกิดขึ้นได้เองในที่ไม่ต้องไถ เมล็ดข้าวก็ไม่มีเปลือก แถมเก็บเอามากินได้โดย ไม่ต้องหุง ไม่ต้องต้ม พูดง่ายๆ เหมือนอย่างกับที่เราเก็บองุ่น เก็บชมพู่มากิน

           ยิ่งกว่านั้น ถ้าเก็บเกี่ยวตอนเช้า ตอนเย็นก็งอกขึ้นมาใหม่ ถ้าเก็บเกี่ยวตอนเย็น ตอนเช้าก็งอกขึ้นมาใหม่

           แต่ข้าวสาลีนี้ไม่สามารถถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้หมด เหมือนอย่างกับง้วนดิน กระบิดิน และเครือดิน ก็เลยต้องมีการเคี้ยว ต้องมีการย่อยเกิดขึ้น แต่ว่าก็ย่อยได้ไม่หมด ยังมีกากเหลืออยู่

           เมื่อมีกากเหลืออยู่ อวัยวะสำหรับขับถ่าย เพศหญิง เพศชาย พร้อมทั้งตับไต ไส้พุง ก็มา เกิดขึ้นตอนนี้เอง

           โดยพรหมตนไหนเคยผิดศีลกาเมฯ เมื่อสมัยเป็นมนุษย์เอาไว้ เมื่อถึงคราวอวัยวะขับถ่ายเกิดขึ้น ก็กลายเป็นเพศหญิง

           ส่วนพรหมตนไหนมีเวรกาเมฯ เพียงเล็กน้อย หรือหมดเวรกาเมฯ แล้ว พออวัยวะขับถ่ายเกิดขึ้น ก็กลายเป็นเพศชายไป

           พอมีเพศหญิงเพศชาย ก็เกิดการเพ่งเล็งกันขึ้น แล้วการอยู่ร่วมกันเป็นคู่ๆ ก็เกิดขึ้นมา เลยต้องมีการสร้างบ้านสร้างเรือนกัน

           เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นคู่ๆ อย่างนี้ การเกิดแบบโอปปาติกะก็หายไป กลายเป็นการเกิดในครรภ์มารดาขึ้นมาแทน

           เมื่อกาลเวลาได้ผ่านไปอีกยาวนาน อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีบุคคลประเภทหนึ่งเกิดความคิดขึ้นมาว่า ทำไมเราถึงต้องมาเก็บข้าวสาลีเอาไปกินทีละมื้ออย่างนี้ ทำไมเราไม่เก็บตอนเช้าแล้วเผื่อไปถึงตอนเย็น หรือเก็บตอนเย็นแล้วเผื่อไปถึงพรุ่งนี้เช้าด้วย

           เพียงเขาทำอย่างที่คิดนี้เท่านั้น การเก็บตุนก็เกิดขึ้น แม้จะเป็นการเก็บตุนเอาไว้กินแค่วันเดียว แต่บรรยากาศของโลกก็ชักจะร้อนยิ่งขึ้นไปอีก

           เพราะว่าเมื่อคนหนึ่งทำได้ คนอื่นๆ ก็ทำตามบ้าง จากนั้นความมักง่าย ความเห็นแก่ความสะดวกสบาย ก็ทำให้เกิดเป็นความขี้เกียจที่จะไปเก็บข้าวสาลีทุกวันๆ เพราะฉะนั้นเราเก็บไว้ให้พอกินสัก ๔ วันเถอะ

           เมื่อมนุษย์ทำอย่างนี้มากเข้า ต้นข้าวสาลีที่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว ก็งอกขึ้นมาใหม่ไม่ทัน เนื่องจากถูกเก็บเกี่ยวมากจนเกินไป ไม่มีเวลาให้ฟื้นตัว

           รวมทั้งโอชะที่มีอยู่ในดินก็ค่อยๆ หายไป คุณภาพของดินก็เสื่อมลงๆ เพราะฉะนั้นเมล็ดข้าวสาลีจึงเริ่มมีรำ มีเปลือก เกิดขึ้นมาห่อหุ้มเมล็ดไว้ เมล็ดข้าวก็ค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายพันธุ์ไปจากเดิม

           มนุษย์เหล่านั้นจึงได้แบ่งข้าวสาลีและกั้นเขตแดนกัน จากนั้นต่างคนต่างก็ลงมือปลูกข้าวกินกันเอง

           ยังไม่พอ ต่อมามีบุคคลบางพวกเกิดความโลภ เห็นแก่ได้ เก็บรักษาข้าวที่ตัวเองปลูกเอาไว้ แล้วถือเอาส่วนของคนอื่นที่เขาไม่ได้ให้ไปบริโภค พูดง่ายๆ ขโมยได้เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคต้นกัปนั่นเอง

           แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่วันที่มนุษย์เกิดมา ไม่ว่าจะเกิดโดยโอปปาติกะ หรือเกิดจากครรภ์มารดาก็ตาม ในใจของคนเรานั้นมีกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ฝังตัวอยู่เรียบร้อยแล้ว

           เมื่อมีการขโมย ในที่สุดเขาก็จับได้ เขาก็ว่า เขาก็ตำหนิเอา แล้วบอกว่าวันหลังอย่าทำอย่างนี้อีก ผู้ที่เป็นขโมยก็รับปาก แต่พอเผลอก็ขโมยอีก

           คราวนี้พอถูกจับได้แม้ยังไม่ถึงกับฆ่าฟัน แต่ว่าการใช้ไม้ ใช้ดุ้นฟืนตีกันก็เริ่มมีขึ้นมา ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่า การที่คนเราโกงกัน ขโมยกัน โกหกกัน บางทีไม่ใช่เพราะความจน แต่เพราะว่านิสัยไม่ดีเองต่างหาก

           เพราะฉะนั้น คนจนจึงไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนเลว ในเวลาเดียวกัน คนรวยก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนดีเสมอไป แต่ความดีหรือความเลวของคนเรานั้น ขึ้นอยู่กับกิเลสที่อยู่ในใจของเขานั่นเอง

           เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ ชาวโลกยุคนั้นก็ปรึกษาหารือกันแล้วมีมติว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเราควรนับถือใครสักผู้หนึ่ง ให้ทำหน้าที่ ว่ากล่าวผู้ที่ ควรว่ากล่าวได้ ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้ และขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้ ส่วนพวกเราจักหา จักให้ส่วนแห่งข้าวสาลีแก่ผู้นั้น โดยที่เขาไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย

           เป็นอันว่า ผู้นำของชาวโลกได้เกิดขึ้น ด้วยอาการเช่นนี้ แล้วถูกเรียกว่า มหาสมมติ คือ สมมติให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่

           ต่อมามหาสมมติก็มีหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีก หน้าที่หนึ่ง คือทำหน้าที่แบ่งสรร ปันส่วนที่ดิน เพื่อการเกษตร ก็เลยได้ชื่อว่า กษัตริย์ แปลว่า ผู้เป็นใหญ่ในการเกษตร

           เมื่อมีผู้มาทำหน้าที่เหล่านี้ให้ ชาวบ้านก็พากันชื่นอกชื่นใจ เลยมีคำที่ใช้เรียกท่านผู้นี้ขึ้นมาอีกคำหนึ่งว่า พระราชา หมายถึง ผู้ที่ทำความชื่นใจให้กับมหาชน

           จะเห็นว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย จากคนเพียงไม่กี่คน โดยเริ่มต้น จากการไม่สำรวมใจ หรือควบคุมจิตใจตัวเอง ไม่ได้ ก็เลยทำให้ควบคุมความอยากไม่ได้ ควบคุมท้องไม่ได้ ควบคุมปากไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาส่วนตัว แต่ว่าได้ก่อให้เกิดเป็นปัญหาส่วนรวมขึ้นมา

           คือเมื่อควบคุมปากของตัวเองไม่ได้ แล้วไปพูดดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ผลร้ายต่างๆ จึงเกิดขึ้นมามากมาย จนกระทั่งในที่สุดได้กลายเป็นระบบเศรษฐกิจและระบบรัฐศาสตร์ขึ้นมา แล้วยังมีผลทำให้โลกของเราต้องเดือดร้อนวุ่นวาย ต่อเนื่อง มาจนถึงทุกวันนี้ และนับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

           สำหรับวิธีที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ให้ได้อย่างถาวรนั้น ทุกคนต้องแก้ไขที่ตัวเอง ด้วยการไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี แล้วทำจิตใจให้ผ่องใส

           เพราะฉะนั้น การที่มาสร้างบุญสร้างบารมีกันตั้งแต่ต้นปีนี้ เราทำถูกต้องแล้ว หลวงพ่อก็ขอให้พวกเราสร้างบารมีกันให้เข้มแข็ง สร้างบารมีกันอย่างละเอียดลออ อย่าดูถูกว่าบาปเพียงเล็กน้อยจะไม่ให้ผล อย่าดูถูกว่าบุญเล็กน้อยจะไม่ส่งผล เพราะไม่ว่าบาป ไม่ว่าบุญ แม้เพียงเล็กน้อย ล้วนมีผลต่อพวกเราในอนาคตทั้งสิ้น

           ด้วยอำนาจกุศลผลบุญนี้ ขอให้ลูกหลวงพ่อทุกคน สิ่งใดที่ตั้งใจไว้ดีแล้ว ขอให้สิ่งนั้น จงสำเร็จ จงสำเร็จ จงสำเร็จ เป็นอัศจรรย์ ให้สามารถสร้างบารมี ตามติดพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และคุณยายอาจารย์ฯ ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ตกไม่หล่น ไม่พลัดไม่พราก ให้แตกฉานในวิชชาธรรมกายได้โดยง่าย ตลอดไปทุกภพทุกชาติ ตราบวันถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ ๒๗ ประจำเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล