มงคล ที่ ๓๘ จิตเกษม
มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า
ผู้ที่ถูกตีตรวนคุมขังอยู่
เมื่อได้รับอิสรภาพหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการ
ย่อมมีอิสระเสรี มีความสุขกายสบายใจฉันใด
ผู้ที่ทำพระนิพพานให้แจ้งแล้ว
หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย
ก็ย่อมมีจิตเกษมฉันนั้น
ภัยของมนุษย์
ทันทีที่เกิดมาลืมตาดูโลก เราก็ต้องผจญกับภัยต่างๆ นานาชนิดที่พร้อม จะเอาให้ถึงตายอยู่ทุกวินาที เหมือนว่ายน้ำท่ามกลางความมืดอยู่กลางทะเล มหาโหด ภัยทั้งหลายเหล่านี้แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ
๑. ภัยภายใน พอเกิดมาเราก็มีภัยชนิดนี้มาคอยดักรุมล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
ข้างหลัง คือชาติภัย ภัยจากการเกิด
ข้างขวา คือชราภัย ภัยจากความแก่
ข้างซ้าย คือพยาธิภัย ภัยจากความเจ็บ
ข้างหน้า คือมรณภัย ภัยจากความตาย
ภัยเหล่านี้รุมล้อมเราทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง ทุกด้านเลยทีเดียว ใครๆ ก็ หลีกเลี่ยงไม่ได้
๒. ภัยภายนอก มีอยู่นับไม่ถ้วน เช่น
- ภัยจากคน เช่น ผัวร้าย เมียเลว ลูกชั่ว เพื่อนที่ไม่ดี คนพาล คน เกเร นับไม่ถ้วน
- ภัยจากธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฟ้าผ่า
- ภัยจากบาปกรรมตามทัน ถูกล้างผลาญทุกรูปแบบ เคยเบียดเบียนสัตว์ก็ทำให้ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย พิการ เคยโกหกไว้มากก็ทำให้ความจำเลอะเลือน ไปลักขโมยโกงเขา เขาจับได้ถูกขังคุกลงโทษ ก็สารพัดล่ะ
ฯลฯ
ทำไมเราจึงต้องพบกับภัยเหล่านี้ ?
การที่เราต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของภัยทั้งหลาย ดิ้นกันไม่หลุด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ก็ยังต้องรับทุกข์รับภัยกันอยู่ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านๆๆๆ ชาติมาแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะถูกผูกด้วย โยคะ แปลว่า เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ มีอยู่ ๔ ประการ ได้แก่
๑. กามโยคะ คือความยินดีพอใจในกามคุณ อยากฟังเพลงเพราะๆ อยากกินอาหารอร่อยๆ ได้สวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ นุ่มนวลสวมสบาย อยากเห็น รูปสวยๆ ได้สัมผัสที่นุ่มนวล ได้แฟนสวยๆ มีสมบัติเยอะๆ ความใคร่ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเหมือนเชือกเกลียวแรกที่ผูกมัดตัวเราไว้
๒. ภวโยคะ คือความยินดีพอใจในรูปฌานและอรูปฌาน คนที่พ้นเชือกเกลียวแรก พ้นกามโยคะมาได้ ก็มาเจอเชือกเกลียวที่ ๒ นี้ คือเมื่อได้เจอความสุขจากการที่ใจเริ่มสงบ ทำสมาธิจนได้รูปฌานหรืออรูปฌานก็พอใจ ยินดีติดอยู่ในความสุขจากอารมณ์ของฌาน ตายไปก็ไปเกิดเป็นรูปพรหม หรือ อรูปพรหม ซึ่งก็ยังไม่พ้นภัย หมดบุญก็ต้องลงมาเกิดเจอภัยกันอีก นี่เป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ ๒
๓. ทิฏฐิโยคะ คือความยึดถือความคิดเห็นที่ผิดๆ ของตนเอง เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณต่อตนบ้าง เห็นว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มีจริงบ้าง เห็นว่าตนเองจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการบวงสรวงอ้อนวอนบ้าง ใจยังมืดอยู่ ยังไปหลงยึดความเห็นผิดๆ อยู่ สิ่งนี้เลยเป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ ๓
๔. อวิชชาโยคะ คือความไม่รู้แจ้งในพระสัทธรรม ความสว่างของใจยังไม่พอ ยังไม่เห็นอริยสัจ ๔ ไม่เห็นทางพ้นทุกข์พ้นภัย นี่ก็เป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ ๔
ทั้ง ๔ อย่างนี้ เป็นเหมือนเชือก ๔ เกลียว ที่ผูกมัดตัวเราไว้กับภพ ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารโดยไม่รู้จบสิ้น ทำให้ต้องมาพบกับภัยทั้งหลาย ดิ้นกันไม่หลุดทีเดียว
จิตเกษม คือ อะไร ?
เกษม แปลว่า ปลอดภัย พ้นภัย สิ้นกิเลส มีความสุข
จิตเกษม จึงหมายถึง สภาพจิตที่หมดกิเลสแล้ว โยคะเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ เชือกทั้ง ๔ เกลียว ได้ถูกฟันขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง จิตเป็นอิสระ เสรี ทำให้คล่องตัวไม่ติดขัด ไม่อึดอัดอีกต่อไป ไม่มีภัยใดๆ มาบีบคั้นได้อีก จึงมีความสุขอย่างแท้จริง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ที่จะมีจิตเกษมได้อย่างแท้จริง คือผู้ที่มีใจจรดนิ่งแช่อิ่มอยู่ในนิพพานตลอดเวลา ซึ่งก็ได้แก่พระ-อรหันต์นั่นเอง
จิตของพระอรหันต์นั้น นอกจากจะหมดกิเลสแล้ว ก็ยังทำให้มีความรู้ความสามารถพิเศษอีกหลายประการ เช่น
อภิญญา ๖
อภิญญา ๖ คือความรู้อันยิ่งยวด เหนือความรู้จากการตรองด้วยหลักเหตุผลธรรมดา ได้แก่
๑. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็น สิ่งต่างๆ ย่อ-ขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
๒. ทิพยโสต มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
๕. จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุ) มีตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไปได้
ในอภิญญา ๖ นี้ ๕ ข้อแรกเป็นโลกียอภิญญา ข้อที่ ๖ เป็นโลกุตตร-อภิญญา คุณวิเศษเหล่านี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงด้วยการบอกเล่าหรือสั่งสอนกัน ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นนั้นๆ แล้วจึงจะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง
พระอรหันต์บางรูปได้คุณสมบัติหมดกิเลสได้วิชชา ๓ แต่ไม่ได้อภิญญา ๖ เนื่องจากแม้จะฝึกตนเองข้ามภพข้ามชาติมาพอสมควร แต่ไม่ได้ทำอย่าง อุกฤษฏ์ คือไม่ได้ทำถึงขั้นสูงสุด จึงเพียงแต่หมดกิเลส อย่างไรก็ตาม พระ-อรหันต์ทุกรูปจะต้องได้วิชชา ๓
วิชชา ๓
วิชชา ๓ คือความรู้แจ้ง ความรู้พิเศษอันลึกซึ้งด้วยปัญญา ได้แก่ ญาณ คือความหยั่งรู้เป็นความรู้พิเศษ เป็นปัญญาอันเกิดจากการทำสมาธิ ภาวะที่เรียกว่า ภาวปัญญาซึ่งเป็นปัญญาขั้นสูงสุด จะเข้าถึงธรรมมรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องเข้าถึงด้วยภาวนายมปัญญานี้เท่านั้น พระสัมมา- สัมพุทธเจ้าทรงสละชีวิตปฏิบัติธรรมจนได้ ภาวนายมปัญญา บรรลุวิชา 3นี้ ในวันตรัสรู้ธรรมวิชชา 3มีดังนี้ ซึ่งเกิดจากการทำสมาธิสุดยอดเข้าถึงธรรมกาย คือ
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือระลึกชาติตัวเองได้
๒. จุตูปปาตญาณ คือตาทิพย์ ระลึกชาติคนอื่นได้
๓. อาสวักขยญาณ คือความรู้ที่ทำให้หมดกิเลส
ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น บางรูปมีญาณแก่กล้าขึ้นไปอีก คือบางรูปได้อภิญญา ๖ บางรูปได้วิชชา ๘ บางรูปได้ปฏิสัมภิทา ๔
วิชชา ๘
วิชชา ๘ คือความรู้แจ้ง หรือความรู้วิเศษ ๘ อย่าง คือ
๑. วิปัสสนาญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขาร โดยไตรลักษณ์
๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ ฤทธิ์ทางใจ
๓. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็น สิ่งต่างๆ ย่อ-ขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
๔. ทิพยโสต มีหูทิพย์
๕. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
๗. ทิพยจักษุ มีตาทิพย์
๘. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำกิเลสให้สิ้นไปได้
ปฏิสัมภิทาญาณ ๔
ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ คือความสามารถพิเศษในการสั่งสอนคนอื่น ได้แก่
๑. อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ เห็นข้อธรรมใดก็สามารถอธิบายขยายความออกไปได้โดยพิสดาร
๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม สามารถสรุปข้อความ ได้อย่างกระชับเก็บความสำคัญได้หมด
๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ คือแตกฉานเรื่อง ภาษาทุกภาษา ทั้งภาษาของมนุษย์และสัตว์ สามารถเข้าใจได้
๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบปฏิ-ภาณดี สามารถอธิบายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ดี ตอบคำถามได้แจ่มแจ้ง
การปฏิบัติธรรมมีอานิสงส์มากมายถึงปานนี้ เราทุกคนจึงควรตั้งใจฝึกฝนตนเองตามมงคลต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ทำอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ช้าเราก็จะเป็นผู้รู้จริงทำได้จริงผู้หนึ่ง มีจิตเกษมปลอดภัยจากภัยต่างๆ และมีความรู้พิเศษสุดยอด ตามเยี่ยงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้
เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว
พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำอะไร
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง
ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย
เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม
เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป
เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้
คติธรรมของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ)
หนังสือมงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า
โดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย