พระอัครสาวกเบื้องซ้าย-ขวา (ตอนที่ ๑)

วันที่ 27 กพ. พ.ศ.2547

 

 

.....ขณะพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่เวฬุวัน มีชายหนุ่มสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาก ชื่อ อุปติสสะ ลูกชายนางสารี หรือเรียกว่าสารีบุตร และโกสิตะ ลูกชายนางโมคคัลลี หรือเรียกว่าโมคคัลลานะ พากันไปเที่ยวดูมหรสพแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ เห็นว่าใช้ชีวิตไร้สาระจึงพากันออกบวชอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก ไม่ได้บรรลุธรรมที่ต้องการ สัญญากันไว้ว่า ถ้าใครบรรลุธรรมพิเศษก่อน ต้องบอกให้อีกฝ่ายทราบ

.....เช้าวันหนึ่งพระอัสสชิ ซึ่งเป็นภิกษุในกลุ่มปัญจวัคคีย์เข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ปริพาชกสารีบุตรเดินมาเห็นเข้า พอใจในอากัปกิริยาสำรวม มีอิริยาบถน่าเลื่อมใส ไม่เหมือนบรรพชิตในลัทธิที่มีกันอยู่เวลานั้น อยากจะทราบว่าใครเป็นศาสดาของท่าน จึงเดินตามท่านไปตลอดเวลา กระทั่งบิณฑบาตเสร็จและไปนั่งฉันภัตตาหารในที่สมควร ชายหนุ่มสารีบุตรได้ช่วยจัดแจงอุปัฏฐากต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพูดกับท่านว่า “ท่านผู้มีอายุผิวพรรณของท่านผ่องใสยิ่งนัก ใครเป็นศาสดาของท่าน?”

.....พระอัสสชิตอบว่า “ดูก่อนพ่อหนุ่ม พระมหาสมณะผู้เป็นโอรสของศากยสกุล เป็นพระศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของพระองค์”

.....สารีบุตรถามต่อว่า “พระศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไรบ้าง”

.....พระอัสสชิเห็นว่าชายหนุ่มเป็นนักบวชในลัทธิอื่น แม้จะกล่าวสอนให้ ก็อาจไม่มีความเลื่อมใส จึงกล่าวว่า “เราเป็นคนเพิ่งบวชได้ไม่นาน คงไม่สามารถแสดงธรรมให้ท่านฟังได้กว้างขวาง ขอกล่าวย่อๆ พอรู้ความได้หรือไม่”

.....ชายหนุ่มตอบว่า “ขอรับ ท่านจะกล่าวสั้นหรือยาวก็ได้ทั้งนั้น ตามแต่จะกรุณา”

......พระอัสสชิจึงกล่าวเพียงว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ ตถาคตทรงแสดงเหตุที่ทำให้ธรรมนั้นเกิด และแสดงวิธีดับธรรมนั้น พระสมณะมีปกติสอนอย่างนี้”

.....ชายหนุ่มฟังคำสอนแล้วเข้าใจทันทีเพราะความที่เป็นคนฉลาดมาก คือ เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีสาเหตุทั้งสิ้น ถ้าดับที่ต้นเหตุนั้นเสีย ทุกอย่างก็หมดไป พระศาสดาของพระภิกษุรูปนี้ทรงสอนให้ระงับต้นเหตุเกิดทุกข์ได้แน่นอน

.....พิจารณาตามคำสอนเพียงเท่านั้น ปัญญาญาณภายในใจก็บังเกิดขึ้น ได้ดวงตาเห็นธรรม พิจาณาได้ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา” ขณะนั้นสารีบุตรนึกยอมรับพระบรมศาสดาเป็นอาจารย์ทันทีจึงถามว่า พระศาสดาของพวกเราประทับอยู่ที่ใด

.....เมื่อพระอัสสชิตอบว่า อยู่ที่เวฬุวัน ชายห
นุ่มขอให้พระอัสสชิไปก่อน ตนเองจะไปตามเพื่อนเข้าเฝ้าพร้อมกัน แล้วจึงเดินทางกลับสำนักไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้โมคคัลลานะทราบ

.....ผู้เป็นเพื่อนฟังคำสอนประโยคเดียว ก็ได้ดวงเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันทันที ทำนองเดียวกับสารีบุตร จึงพากันชวนเหล่าบริวารของตน ๕๐๐ ไปลาสัญชัยปริพาชก และชวนให้ไปด้วย สัญชัยปริพาชกเสียใจมาก เพราะลูกศิษย์ทั้งสองทำให้ตนมีหน้าตาชื่อเสียงเพิ่มขึ้น แม้ทั้งสองคนจะชี้แจงให้เห็นดีเพียงใด ก็ยังดื้อดึงมีทิฏฐิ ไม่ยอมไปเป็นศิษย์ของใคร โดยตอบว่า คนในโลกนี้มีทั้งคนโง่และคนฉลาด คนโง่มีมากกว่าคนฉลาด ดังนั้นให้คนฉลาดไปหาพระสมณโคดม ให้คนโง่มาหาตน ขณะเดินมาตามทางบริวารของสารีบุตรและโมคคัลานะเปลี่ยนใจเดินทางกลับไปอยู่กับสัญชัยปริพาชกครึ่งหนึ่ง เมื่อได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ได้ทูลขออุปสมบท พระองค์ทรงอนุญาตด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา (การบวชแบบนี้ผู้บวชมีบุญเก่ามาก จะมีเครื่องอัฐบริขารเกิดขึ้นเอง เพราะในอดีตชาติเคยถวายบริขารแด่สงฆ์มามาก) ทุกคน

.....พระโมคคัลลานะ ทำความเพียรอยู่ ๗ วัน ไม่บังเกิดผล เพราะมีแต่ความง่วงครอบงำอยู่ พระบรมศาสดาเสด็จไปอบรมสั่งสอนวิธีแก้ง่วงว่า

๑. ถ้านึกอะไรได้แล้วยังง่วง ก็นึกเรื่องนั้นให้มากๆ เข้า

๒. นึกแล้วยังไม่หายง่วง ให้ไตร่ตรองพิจารณาธรรมที่ได้ฟัง ได้เรียนมาแล้วด้วยความตั้งใจ

๓. พิจารณาธรรมแล้ว ยังแก้ไม่ได้ ให้ท่องบ่นสาธยายธรรมที่ได้ฟังได้เรียนมาโดยพิสดาร

๔. ท่องแล้วยังไม่หาย ให้ยอนหูทั้งสองข้าง และเอาฝ่ามือลูบหัว

๕. ถ้ายังแก้ง่วงไม่ได้ ควรลุกขึ้นยืนเอาน้ำลูบนัยน์ตา เหลียวไปมองสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว และแหงนมองดูดาวนักขัตฤกษ์ (สร้างความสนใจในสิ่งต่างๆ)

๖. ถ้ายังแก้ไขไม่สำเร็จ ให้ทำใจนึกถึงแสงสว่าง ตั้งใจว่ามีแต่กลางวันอย่างเดียว ไม่มีกลางคืน ให้ใจเป็นอิสระเปิดเผย ไม่มีอะไรห่อหุ้ม

๗. ถ้าความง่วงยังเกิดได้อีก ให้อธิษฐานจิตเดินจงกรม กลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ ไม่คิดเรื่องภายนอกตัว ให้ส่งจิตเข้าสู่กลางตัว

๘. ทำมาทั้ง ๗ อย่างข้างต้นก็ยังไม่หายห่วง ก็ให้ล้มตัวลงนอนท่าราชสีห์นอน คือ นอนตะแคงข้างขวาซ้อนเท้าเหลื่อมกัน ตั้งสติสัมปชัญญะให้มั่นคงว่าจะลุกเวลาใด พอตื่นรีบลุกทันที ให้รีบคิดว่าจะไม่หาความสุขจากการนอน จากการเอนหลัง จากการเคลิ้มหลับ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.016935499509176 Mins