วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ พระธรรมเทศนา " สรีรัฏฐธัมมสูตร - ธรรมประจำสรีระ" ตอนที่ ๖

พระธรรมเทศนา

 



 

ตอนที่ ๖

พระธรรมเทศนา

" สรีรัฏฐธัมมสูตรธรรมประจำสรีระ"

 

          ข้อที่ ๑๐ ธรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งภพเป็นเหตุให้เกิดในภพใหม่

          เมื่อเราศึกษาพิจารณาสรีรัฏฐธัมมสูตรมาถึงข้อสุดท้ายนี้ ก็จะพบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมองทุกข์ประจำชีวิตของสรรพสัตว์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อย่างที่ไม่เคยมีศาสดาองค์ใดในโลกปัจจุบันก้าวมาถึงที่จุดนี้เลย

          สำหรับทุกข์ประจำสรีระตั้งแต่ข้อที่ ๑-๙ ที่เราศึกษาพิจารณากันมาก่อนหน้านี้นั้น เราได้ทราบแล้วว่า มีสาเหตุมาจาก "ธาตุ ๔ ในตัวไม่บริสุทธิ์" ทำให้ทุกนาทีมีอัตราการตายของเซลล์เฉลี่ยนาทีละ ๓๐๐ ล้านเซลล์ แต่สาเหตุที่ทำให้ธาตุ ๔ ในตัวไม่บริสุทธิ์นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเฉลยไว้ในข้อสุดท้ายนี้เอง ว่าเกิดจาก "ใจไม่บริสุทธิ์" และ ตัวการที่ทำให้ใจไม่บริสุทธิ์ ก็คือ "กิเลส" ที่หมักดอง ห่อหุ้ม บีบคั้น บังคับใจมนุษย์นั่นเอง

          คำว่า กิเลส หมายถึง เครื่องปรุงแต่งภพเป็นเหตุให้เกิดในภพใหม่ ทำให้มนุษย์ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารไม่รู้จบรู้สิ้น

          กิเลสเป็นธาตุสกปรกที่บีบคั้นใจของเราให้ทุรนทุราย สามารถคิดเรื่องเลวร้ายได้ ต่าง ๆ นานา โดยแบ่งเป็น ๓ ตระกูลใหญ่ ได้แก่

          ๑. โลภะ คือ ความคิดโลภอยากได้สมบัติของผู้อื่นในทางที่ไม่ชอบ

          ๒. โทสะ คือ ความคิดโกรธล้างผลาญทำลายผู้อื่นให้พินาศย่อยยับ

          ๓. โมหะ คือ ความคิดหลงผิด คิดแต่เรื่องโง่ ๆ อยู่เป็นประจำ
 เช่น คิดอิจฉาตาร้อน เป็นต้น

          เมื่อกิเลสบีบคั้นใจให้โลภ โกรธ หลง ก็จะทำให้ใจของเราสกปรกด้วยความคิดผิด ๆ เมื่อมีความคิดผิด ๆ ก็พูดผิด ๆ ทำผิด ๆ ตามมา แล้วก็กลายเป็นบาปกรรมติดตัว

          วิธีแก้ไขมีทางเดียวก็คือ ต้องกำจัดกิเลสให้หมดไป แต่คำถามที่ตามมาก็คือ กิเลสอยู่ที่ไหน คำตอบก็คือ กิเลสอยู่ที่ใจ นั่นก็หมายความว่า การที่เราจะกำจัดกิเลสได้ ก็ต้องมองเห็นใจของตัวเองก่อน

          คำถามที่ตามมาอีกก็คือ ทำอย่างไรถึงจะสามารถมองเห็นใจของเราเอง คำตอบก็คือ ต้องทำภาวนามาก ๆ พร้อมกับสำรวมกาย สำรวมวาจา และสำรวมในการประกอบอาชีพ ควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ "ใจบริสุทธิ์" มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ "ธาตุ ๔ ในตัวบริสุทธิ์" เพิ่มขึ้นตามมา ทุกข์ต่าง ๆ ในร่างกายซึ่งเป็นทางมาของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ จากความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความปวดปัสสาวะ ความปวดอุจจาระ ก็จะบรรเทาลดลง สิ่งที่ได้เพิ่มมาอีกอย่างก็คือ ได้ เวลาว่าง ในแต่ละวันเพิ่มขึ้น เราจะได้ใช้เวลาว่างนั้นไปทำภาวนาปราบกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ จะได้สิ้นทุกข์ สิ้นกิเลส สิ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ้นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

          แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ก็คือ คนส่วนมากในโลกไม่ค่อยจะมีเวลามาบำเพ็ญภาวนาปราบกิเลสกัน เพราะว่าหมดเวลาไปกับการประกอบอาชีพ ซึ่งวัน ๆ ก็คิดวนเวียนอยู่ในเรื่องการทำมาหากินบ้าง การทำมาค้าขายบ้าง บางคนก็สำรวมในอาชีพ บางคนก็ไม่สำรวมในอาชีพ มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แย่งชิงผลประโยชน์กันบ้าง มีความแค้นเคือง บาดหมางกันบ้าง สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาตามมา ทำให้เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา เสียทั้งอารมณ์ และได้กิเลสเพิ่มขึ้นด้วย เผลอไปแวบเดียว เดี๋ยวก็วัน เดี๋ยวก็คืน เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ตาย เดี๋ยวก็ไปเกิดในภพภูมิใหม่อีกแล้ว ยิ่งบางคนต้องแบ่งเวลาให้ลูกเมียไปอีก จึงยากที่จะมีเวลาทำภาวนา ในที่สุดก็หมดเวลากันไปชาติหนึ่ง โดยที่มีเวลานั่งทำภาวนาได้ไม่กี่ชั่วโมง บางคนตลอดชีวิตไม่เคยนั่งทำภาวนาเลยด้วยซ้ำไป

          กล่าวโดยย่อก็คือ เวลาชีวิตของชาวโลกสิ้นเปลืองไปกับการหาที่ไม่บริสุทธิ์ การเก็บ ที่ไม่บริสุทธิ์ การใช้ที่ไม่บริสุทธิ์ ส่งผลให้ปัจจัย ๔ ที่ได้มาก็ไม่บริสุทธิ์ จึงต้องตามแก้ปัญหา ต่าง ๆ ไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะถ้าปัญหาบานปลายไปถึงขั้นเป็นศัตรูกันเมื่อไร การจองล้าง จองผลาญข้ามภพข้ามชาติจะเกิดขึ้นตามมาทันที คู่อาฆาตพยาบาทได้เกิดขึ้นแล้ว จากเรื่อง การทำมาหากินที่ไม่ควรจะเป็นเรื่องเข่นฆ่ากัน กลายเป็นเรื่องการจองเวรข้ามชาติไปเสียแล้ว นี่คือสิ่งที่มนุษย์เป็นกันอยู่ตลอดเวลาหลายร้อยหลายพันปี ทำให้หมดเวลาไปกับเรื่องขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง โดยลืมเลือนไปว่า เราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อย่างไม่มีวันจบสิ้น หากยังไม่รีบปราบกิเลสให้หมดสิ้นไป

          ดังนั้น ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว คนที่เฉลียวใจคิดถึงเรื่องการปราบกิเลสนี้ จึงตัดสินใจออกบวช จากเรือนเหมือนนกที่จากคอน ไม่อาลัยอาวรณ์กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในทางโลก เพื่อให้ตนมีเวลาว่างสำหรับการทำภาวนาปราบกิเลสให้มากที่สุด เพื่อให้ การเกิดมาในชาติหนึ่งของตนไม่เสียเวลาเปล่า และสามารถกำจัดกิเลสให้เบาบางลงไป เรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดสิ้นไปในชาติใดชาติหนึ่งเบื้องหน้า

          การที่เราได้มาบวชในวันนี้ ย่อมเป็นโอกาสดีที่เราจะได้กำจัดกิเลสในใจด้วยการ ทำภาวนากลั่นใจให้บริสุทธิ์ กลั่นธาตุ ๔ ในตัวให้บริสุทธิ์ กลั่นศีลทางกายและทางวาจาให้บริสุทธิ์ และกลั่นข้าวปลาอาหาร รวมทั้งปัจจัยไทยธรรมทั้งหลายที่ญาติโยมนำมาถวายเพื่อเติมธาตุ ๔ ให้กับเราให้บริสุทธิ์

          เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้ศึกษาอรรถาธิบายพระสูตรนี้แล้ว ก็พึงหมั่นระลึกเตือนตัวเอง อยู่เนือง ๆ ว่า

           ๑. ถ้าธาตุ ๔ ในตัวเรายังไม่บริสุทธิ์ ก็จะต้องทุกข์ทรมานอยู่ในวัฏสงสารนี้ต่อไป ดังนั้น วันคืนที่ล่วงไปในแต่ละวัน ต้องแบ่งเวลาให้กับการกำจัดกิเลสก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงค่อยแบ่งเวลาไปทำกิจอื่น ๆ ของส่วนรวม

          ๒. กว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้มาสอนเรื่องนี้ได้ก็ต้องใช้เวลายาวนาน ซึ่งไม่ต่ำกว่ายี่สิบอสงไขยแสนมหากัป ธรรมะทุกถ้อยคำของพระองค์จึงไม่อาจมองข้ามได้เลยแม้แต่คำเดียว

          นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องมาเรียนรู้ "สรีรัฏฐธัมมสูตร" ให้เข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้งกันตั้งแต่เริ่มบวชใหม่ ๆ ทั้งที่มีถ้อยคำไม่กี่คำ มีความยาวไม่กี่บรรทัด ถ้าปล่อยผ่าน อ่านจนตายก็จะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าไม่ปล่อยผ่าน ก็จะพบว่าทุกถ้อยคำในพระสูตรนี้ ได้ชี้ช่องทางกำจัดทุกข์ ชี้ช่องทางไปนิพพานให้กับพวกเราไว้เรียบร้อยแล้ว

          อรรถาธิบายในข้อที่ ๑๐ อาจสรุปได้ด้วยภาพข้างล่างนี้

 



 

          ๓. มองทุกข์ให้เห็นชีวิต

          ๓.๑ ทุกข์ประจำตัวก่อทุกข์ประจำโลก

          สำหรับผู้ที่เคยศึกษาพระไตรปิฎกมาบ้างแล้ว ก็จะพบว่าพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์โปรดเวไนยสัตว์ในสมัยพุทธกาลนั้นมีมากมายมหาศาล หากนับเฉพาะ ที่มีอยู่ในประเทศไทย ก็เป็นตำราเล่มโตมากถึง ๔๕ เล่ม แต่ทว่าท่ามกลางคำสอนนับหลาย ร้อยล้านตัวอักษรนั้น มีเพียงไม่กี่พระสูตรที่พระองค์ทรงใช้คำว่า ต้องพิจารณาทุกวันเป็นเนืองนิตย์ และ สรีรัฏฐธัมมสูตรอันประกอบด้วยองค์ธรรม ๑๐ ประการ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงมีรับสั่งเน้นย้ำความสำคัญของพระสูตรนี้มากนัก

          คำตอบก็คือ เมื่อเราพิจารณาองค์ธรรมทั้ง ๑๐ ประการ ในพระสูตรนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็จะพบความจริงว่า ทุกข์ประจำสรีระทั้ง ๑๐ ประการนั้น เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความ ทุกข์ประจำชีวิตของคนเรา ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ

          ประเภทที่ ๑ ปัญหาทุกข์จากการดำรงชีพ ได้แก่ ความร้อน ความหนาว ความหิว ความกระหาย ความปวดปัสสาวะ ความปวดอุจจาระ ที่บีบคั้นให้ร่างกายของเราอ่อนแอจนต้องไปแสวงหาธาตุ ๔ มาเติมให้กับร่างกาย

          ประเภทที่ ๒ ปัญหาทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน ได้แก่ ความไม่สำรวมกาย ความไม่สำรวมวาจา ความไม่สำรวมอาชีพ ที่บีบคั้นให้เราต้องแก่งแย่งแข่งขันกับผู้อื่น เพื่อให้ได้ทรัพย์มาซื้อหาปัจจัย ๔ มาเติมธาตุ ๔ ให้กับตัวเรา

          ประเภทที่ ๓ ปัญหาทุกข์จากอำนาจกิเลส ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เกิดจากความไม่สำรวมใจ จนเป็นเหตุให้กิเลสครอบงำและชักนำให้เกิดความคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ต่าง ๆ นานา จนกลายเป็นวิบากกรรม ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารไม่รู้จบสิ้น

          ปัญหาทุกข์ ๓ ประเภท อาจสรุปได้ด้วยภาพนี้

 



 

          เมื่อรวมทุกข์ทั้ง ๓ ประเภท ในตัวมนุษย์แต่ละคนทั้งโลกเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นทุกข์ประจำโลก โดยจะขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพสัก ๓ เรื่อง

          ตัวอย่างที่ ๑ โรคระบาดที่เกิดจากความไม่รู้สุขอนามัย

          ครั้งหนึ่งโลกได้ประสบปัญหาอหิวาตกโรคแพร่ระบาดไปทั่วโลก เพราะการกินอาหาร สุก ๆ ดิบ ๆ ที่มีเชื้ออหิวาต์อาศัยอยู่ ทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรง เมื่อมีผู้ป่วยบางคนขับถ่ายอุจจาระลงแม่น้ำผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น เชื้ออหิวาต์ก็แพร่ระบาดไปทั่วอังกฤษ อิตาลี เยอรมัน และอีกหลาย ๆ ประเทศในทวีปยุโรป กว่าคณะแพทย์ของแต่ละประเทศจะศึกษารู้ว่า โรคท้องเสียที่ระบาดรุนแรงอยู่นี้เกิดจากเชื้ออหิวาต์ ก็หมดเวลาไปเป็นร้อย ๆ ปี มีคนตายไปนับล้านคน แพทย์จึงสามารถคิดค้นยารักษาโรคขึ้นมาได้ แต่กว่าจะหาวิธีกระจายความรู้ให้ทั่วถึงกันทั้งโลก ก็หมดเวลาไปอีกนับร้อยปี นี่ก็เป็นตัวอย่างประการหนึ่ง ของปัญหาทุกข์จากการดำรงชีพที่ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ในโลก

         ตัวอย่างที่ ๒ ปัญหาการศึกษาสูงขึ้น แต่ศีลธรรมลดลง

         โลกเราทุกวันนี้ ระดับการศึกษาเฉลี่ยของประชาชนในแต่ละประเทศสูงขึ้นกว่าเมื่อร้อยปีก่อนมากนัก ไม่ต้องอื่นไกล เพียงแค่ในประเทศไทย เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนนี้ ในหมู่บ้าน หนึ่ง ๆ กว่าจะหาคนมีความรู้ในระดับปริญญาตรีได้สักคน ก็สุดแสนยาก กวาดตาดูทั้งประเทศหาคนจบดอกเตอร์ ก็มีไม่กี่คน แต่ทุกวันนี้มีคนจบปริญญาตรีเป็นสิบล้าน จบปริญญาโทอีกเป็นแสน จบปริญญาเอกจากทั้งเมืองไทยเมืองนอก ก็เห็นเดินกันให้เกลื่อนเมือง

          แต่สิ่งที่เมืองไทยกำลังประสบปัญหากันอยู่ตอนนี้ก็คือ ปัญหาอาชญากรรมต่าง ๆ ไม่ได้ลดลงเลย มิหนำซ้ำยังมีคดีไม่น้อยที่เกิดจากผู้มีการศึกษาสูง ๆ บางคดีก็เกิดจากคนที่ได้เงินเดือนเป็นแสน เป็นล้าน สิ่งนี้ย่อมชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่ไม่สำรวมกาย ไม่สำรวมวาจา ไม่สำรวมอาชีพ หรือพูดรวม ๆ ก็คือ ไม่สำรวมในศีลนั่นเอง ที่เป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหา ไม่ว่าจะมีการศึกษาทางโลกระดับไหนก็ตาม

          กล่าวได้ว่าคนเรานั้น ถึงแม้จะมีการศึกษาทางโลกระดับใดก็ตาม ถ้าหากเขายังไม่รักษาศีลข้อแรก ก็แสดงว่าเขาพร้อมที่จะก่อปัญหาอาชญากรรม ถ้าไม่รักษาศีลข้อสอง ก็แสดงว่าเขาพร้อมที่จะก่อปัญหาโจรกรรม ถ้าไม่รักษาศีลข้อสาม ก็แสดงว่าเขาพร้อมที่จะก่อปัญหาการประพฤติผิดประเวณี ถ้าไม่รักษาศีลข้อสี่ ก็แสดงว่าเขาพร้อมที่จะก่อปัญหาต้มตุ๋นหลอกลวง และถ้าเขาไม่รักษาศีลข้อห้า ก็แสดงว่าเขาพร้อมที่จะก่อปัญหาเกี่ยวข้องพัวพัน กับสิ่งเสพติดสิ่งมึนเมาได้ทุกชนิด นี่ก็เป็นตัวอย่างประการหนึ่ง ของปัญหาทุกข์จากการอยู่ร่วมกันที่เห็นกันอยู่ในโลกทุกวันนี้

          ตัวอย่างที่ ๓ ปัญหาภัยพิบัติ

          ในรอบสามสิบปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีการสำรวจโลกใบนี้จากภาพถ่ายทางอากาศบ้าง จากการเข้าไปทำวิจัยในแหล่งทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ของโลกบ้าง เราก็จะได้รับรายงานว่า ปริมาณทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้ แม้ว่าบางอย่างจะลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีปริมาณอาหาร เพียงพอที่จะเลี้ยงคนทั้งโลกไปได้อีกเป็นพัน ๆ ปี แถมยังมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถผลิตสิ่งใหม่ ๆ ให้มีทั้งคุณภาพที่ดีขึ้น ใช้เวลาผลิตน้อยลง ใช้งบประมาณถูกลง และยังผลิตได้ทีละมาก ๆ การขนส่งก็สะดวกสบาย การติดต่อสื่อสารก็ทั่วถึงกันทั้งโลกอีกด้วย

          แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าที่ทันสมัยกว่าแต่ก่อนนี้ ทุกประเทศในโลกก็ยังมีปัญหาคุณภาพชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งกว่านั้น บางประเทศก็รุนแรงถึงขั้นเกิดปัญหาสงครามกลางเมือง บางภูมิภาคก็บานปลายกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ บางทวีปก็ประสบปัญหามลภาวะและมลพิษในบรรยากาศมากเกินไปจนทำให้โลกเสียสมดุล ส่งผลให้ดินฟ้าอากาศแปรปรวน เกิดเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติกวาดล้างทำลายชีวิตมนุษย์ ทั้งแผ่นดินไหว พายุพัด ฝนฟ้าถล่ม ภูเขาไฟระเบิด ท้องทะเลปั่นป่วน รวมไปถึงกระทั่ง ขั้วแม่เหล็กเหนือ-ใต้ของโลกเปลี่ยนตำแหน่ง ทำให้แกนโลกเอียง จนพากันหวั่นวิตกว่าโลกจะพินาศในอีกไม่กี่ปีนี้

          คำถามที่ตามมาก็คือ ในเมื่อทรัพยากรธรรมชาติมีปริมาณเพียงพอจะเลี้ยงคนทั้งโลก แต่เหตุใดจึงเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นในโลกได้ คำตอบก็คือ มนุษย์เป็นผู้กระทำ ด้านหนึ่งเกิดจากความไม่รู้ประมาณในการหา การเก็บ การใช้ อีกด้านหนึ่งเกิดจากความเห็นแก่ตัวของบางคนที่เก็บกักตุนไว้ปั่นราคาจนเศรษฐกิจปั่นป่วน ด้านหนึ่งเกิดจากความละโมบของบางคนที่อยากได้ทรัพยากรของประเทศอื่น ด้านหนึ่งเกิดจากการเอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียน กดขี่ข่มเหง ผู้ที่อ่อนแอกว่า ด้านหนึ่งเกิดจากความมักง่ายในการใช้เทคโนโลยี จนเกิดมลภาวะ มลพิษ ฯลฯ ไม่ว่าคำตอบจะมาจากสาเหตุใดได้บ้างก็ตาม แต่สรุปสุดท้าย ก็คือ ปัญหาทั้งหมดเกิดจากน้ำมือมนุษย์

          คำถามที่ตามมาอีกก็คือ เหตุใดมนุษย์จึงก่อปัญหาให้ตัวเอง ก่อปัญหาให้เพื่อนมนุษย์ ก่อปัญหาให้กับโลก จนเกิดเป็นภัยพิบัติตามมา คำตอบก็คือ เพราะ กิเลส เป็นตัวบงการ บีบคั้น บังคับ ให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นในใจ ทำให้ใจไม่บริสุทธิ์ จึง คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว จนก่อปัญหาเลวร้ายต่าง ๆ ขึ้นในโลกไม่หยุดหย่อน ทำให้ธาตุในตัวไม่บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นไปอีก ธาตุในตัวยิ่งไม่บริสุทธิ์มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งก่อปัญหาเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ตัวเองก็ก่อวิบาก เพื่อนมนุษย์ก็เดือดร้อน โลกก็พินาศเร็วขึ้น ดังตัวอย่าง ในอดีตยุคใกล้และยุคไกลที่ผ่านมา โลกได้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันมาแล้ว นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาทุกข์จากกิเลส ที่ยังมีให้เห็นกันอยู่ในโลกทุกวันนี้

          เพราะฉะนั้น การที่เราได้เจาะลึกลงไปในสรีรัฏฐธัมมสูตร โดยไม่ปล่อยผ่านถ้อยคำของพระพุทธองค์เพียงไม่กี่บรรทัดนี้ ก็ได้ทำให้เราเห็นความเป็นจริงของโลกและชีวิต อย่างชัดเจนว่า ปัญหาต่าง ๆ ในโลกนี้ แท้ที่จริงนั้น ทุก ๆ ปัญหาล้วนเกิดมาจากกิเลสในใจมนุษย์นั่นเอง ซึ่งไม่เคยมีศาสดาองค์ใดในโลกนี้ค้นพบ แต่ด้วยการศึกษาและปฏิบัติ อริยมรรคมีองค์ ๘ โดยการเน้นหนักในการบำเพ็ญภาวนาชนิดอุทิศชีวิตเป็นเดิมพัน พระพุทธองค์จึงทรงสามารถก้าวมาถึงคำตอบในเรื่องกิเลสนี้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นอย่างชนิดที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ก็คือ การที่พระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบวิธีกำจัดกิเลสในพระทัยของพระองค์เองจนสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ครั้นแล้วก็ทรงทุ่มเทชีวิตแนะนำสั่งสอนชาวโลกโดยไม่หวงแหนปิดบัง

          เพราะทรงรู้ดีว่ามีแต่การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ วิธีเดียวเท่านั้นที่จะกำจัดกิเลสได้ ถ้ากำจัดกิเลสในตัวได้หมดสิ้นเมื่อใด ทุกข์ทั้ง ๓ ประเภท ก็จะถูกกำจัดหมดสิ้นเด็ดขาดตามไปด้วย นี่คือเคล็ดที่ไม่ลับสำหรับศาสนิกทั้งหลาย ถ้าเราไม่ปล่อยผ่านธรรมะเพียงไม่กี่ถ้อยคำของพระพุทธองค์                  

                                                                                           ( อ่านต่อฉบับหน้า )

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ 112 กุมภาพันธ์ ปี2555

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล