ผลการปฏิบัติธรรม
เรื่อง : พระบริบูรณ์ ธมฺมวิชฺโช
แค่เพียรนั่ง เพียรสร้างอารมณ์สบาย
จะเข้าถึงพระธรรมกายสมความปรารถนา
การปฏิบัติธรรมที่จะให้ได้ผล ผู้ปฏิบัติต้องประกอบด้วยความเพียรและความอดทน ถ้าไม่มี ความเพียร ไม่มีความอดทน โอกาสที่จะบรรลุธรรมก็เป็นไปได้ยาก ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านได้สอนโดยผูกเป็นภาษิตสั้น ๆ เอาไว้ว่า “ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก” อีกทั้งท่านยังย้ำความสำคัญของเรื่องความอดทนเอาไว้ว่า “...ถ้าไม่มีความอดทน ไม่มีความหยุด ไม่มีความนิ่ง อย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว เข้านิพพานไม่ได้ ที่เข้านิพพานได้ ไปนิพพานได้ ก็เพราะอาศัยความอดทน คือ อดใจนั่นเอง เป็นความแผดเผาอย่างยิ่ง...”
คอลัมน์สมาธิในฉบับนี้ จึงขอยกเรื่องราวตัวอย่างของพระธรรมทายาทผู้ตั้งใจปฏิบัติ โดยมี ความเพียรและความอดทนเป็นที่ตั้ง จนกระทั่งสามารถนำใจของตนเข้าถึงสันติสุขภายในได้ในที่สุด
พระปรีชา โกวิโท อายุ ๓๗ ปี
โครงการอุปสมบทหมู่รุ่นบูชาธรรม ๖๙ ปี พระเทพญาณมหามุนี
“ก่อนมาบวช อาตมาเป็นวิศวกรอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม อยู่ฝ่ายบริการติดตั้งดูแลเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งการบวชครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ ในชีวิต อาตมาเกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่ยังเด็ก แต่อาตมามีอาม่าที่ชอบไปสวดมนต์ไหว้พระที่โรงเจ อาตมาจึงถูกปลูกฝังให้รู้จักการไหว้พระ รู้จักการทำบุญทำทานมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และชอบนั่งสมาธิด้วย อาตมาเคยนั่งเห็นดวงแก้วคลุมตัว แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วก็มีความสงสัยมานานแล้วว่า คนเราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน นรกสวรรค์อยู่ที่ไหน แต่ยังไม่เคยพบคำตอบ จนได้ไปเรียนที่เทคนิคกรุงเทพ จึงได้รู้จักกับชมรมพุทธฯ และได้มาวัดพระธรรมกาย
“ครั้งแรกที่มาวัด อาตมาเข้ามาทางประตูหน้าโบสถ์ ทั้งที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก แต่รู้สึกคุ้นเคยกับวัดมาก พอได้เห็นรูปพระเดชพระคุณหลวงปู่ ได้ฟังคำสอนจากพระอาจารย์ ก็เกิดอาการอยากศึกษาคำสอนของวัดมากขึ้น เพราะที่นี่สอนเรื่องเป้าหมายชีวิต สอนเรื่องนรกสวรรค์ อาตมาจึงคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่า ‘คงจะเป็นที่นี่แหละ ที่เราจะมาสร้างบารมี’ จากนั้นก็มารับบุญเป็นอาสาสมัครแผนกธรรมวารี คอยบริการน้ำดื่มแก่สาธุชน จนกระทั่งเรียนจบทำงานแล้ว ก็ยังมาเป็นอาสาสมัครอยู่ นับไปนับมาก็ ๑๙ ปี แล้ว
“อาตมามีความปรารถนาอยากจะบวชตลอดชีวิตมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พอได้เข้าวัด ได้ฟังเรื่องราว Case Study ต่าง ๆ ก็ทำให้ยิ่งเห็นภัยในวัฏสงสาร จึงพยายามสะสางภารกิจทางโลกให้ลงตัวที่สุด จนอายุ ๓๗ ปี ก็สมปรารถนาได้มาบวชในรุ่นบูชาธรรมหลวงพ่อ นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ทำให้มีผลการปฏิบัติธรรมที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง อาตมาจะยืดเส้นที่คอ ที่ไหล่ ปรับร่างกายก่อน แล้วจะหายใจเข้าออกยาว ๆ ๓ ครั้ง เอาใจไปนึกไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ช่วงแรก ๆ ก็มีเมื่อย หลับ ฟุ้ง แต่อาตมาก็จะนั่งยิ้ม ๆ นิ่งไปเรื่อย ๆ ฝึกอย่างนี้จนกระทั่งรู้สึกว่า ใจไปรวมอยู่ที่ศูนย์กลางกาย เบา โล่ง ว่าง แล้วก็เห็นแสงสว่างเล็ก ๆ เกิดขึ้น เหมือนข้างในมันสว่างขึ้นมาเอง ยิ่งนิ่งข้างในก็ยิ่งสว่าง เบา สบาย เหมือนเราจะค่อย ๆ เคลื่อนลงไป แล้วก็เห็นดวงแก้วเล็ก ๆ ประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ปรากฏขึ้นในศูนย์กลางกาย ใสเหมือนแก้วจุยเจีย ตอนนั้นใจอยู่กับดวงแก้ว อยู่ในความสุขที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนหมดเวลา พอลืมตาแล้ว ถ้านึกถึง ดวงแก้ว ก็จะมีดวงแก้วอยู่ที่ศูนย์กลางกาย และไม่ว่าทำอะไร อาตมาจะทำด้วยอารมณ์สบาย เอาใจไปไว้ที่ศูนย์กลางกายเสมอ ทำให้นึกถึงดวงแก้วได้ง่าย ๆ เห็นได้เรื่อย ๆ มีความสุขมาก ๆ ทั้งวัน อาตมาปรารถนาให้ทุกคนมีความสุขแบบนี้ และเชื่อว่าทุกคนต้องทำได้ แค่เพียรนั่ง เพียรสร้างอารมณ์สบาย นึกทั้งในรอบ นอกรอบ ในที่สุดก็ได้พบกับความไม่ธรรมดา ซึ่งก็คือความสุขภายในนั่นเอง”
พระสมาน อตฺถปาโล อายุ ๕๗ ปี
โครงการอุปสมบทหมู่ ๑๐๐,๐๐๐ รูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ภาคฤดูร้อน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕
“ตอนยังเด็กอาตมาเคยบวชเป็นสามเณร ๓ พรรษา แต่พอโตจนอายุล่วงเข้าเลขห้าแล้ว กลับยังไม่เคยบวชพระตอบแทนบุญคุณพ่อแม่สักที โยมแม่ท่านก็รอให้อาตมาบวชให้ จนอายุได้ ๘๐ กว่า แต่ก่อนที่โยมแม่จะรอไม่ไหว ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อาตมาก็ตัดสินใจว่าต้องบวช พอหมดฤดูทำนาจึงลาโยมแม่ลงมากรุงเทพฯ เพื่อหาเงินสักก้อนเอาไว้เป็นทุนกลับไปจัดงานบวชที่บ้าน อาตมาทำงานหลายอย่าง ล่าสุดไปขายปลาหมึกย่าง ลูกชิ้นย่าง อยู่ที่ตลาดไท วันหนึ่งขณะกำลังปิ้งปลาหมึกหอมฉุย ก็มีผู้นำบุญ ๓ คน เข้ามาชวนบวช เขาบอกว่า ‘เป็นโครงการบวชฟรี ไม่ต้องเสียอะไรเลย แค่เอาตัวไปบวช บวชแล้วจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง’
“ใจอาตมาอยากบวชอยู่แล้ว พอเจอโครงการบวชฟรี ก็ตัดสินใจเขียนใบสมัครตรงนั้นเลย วันรุ่งขึ้นก็ปิดกิจการปลาหมึกย่าง เดินทางไปเข้าอบรมที่วัดพระธรรมกายทันที อาตมามีความสุขมากที่ได้บวช พอมีโอกาสมานั่งสมาธิ ได้พบกับประสบการณ์ภายใน ก็ยิ่งทำให้เชื่อมั่นในเส้นทางสายนี้
“ก่อนนั่งสมาธิอาตมาสวดมนต์ก่อน ขอบารมีจากพระรัตนตรัยและมหาปูชนียาจารย์ เสร็จแล้วก็เอาใจไปวางไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ทำตามที่หลวงพ่อสอน โดยหลับตาเบา ๆ ทำใจนิ่ง ๆ ไม่คิดอะไร ทำตามหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ ก็ได้ดีจริง ๆ เพราะว่าพอใจนิ่งแล้ว ก็เหมือนจะลอยได้ ตัวมันหายไปเลย แล้วก็มองเห็นแสงเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางท้อง พอดิ่งเข้าไปก็มีดวงแสงผุดขึ้นมา พอมองเฉย ๆ นาน ๆ ดวงแสงก็ชัดขึ้น เป็นดวงกลม ๆ ลอยมาหลายดวง ตรงกลางดวงเป็น สีเหลืองทองอร่าม แต่ขอบ ๆ เป็นสีขาวใส ใหญ่เท่าลูกซาลาเปา แต่บางกว่า ตอนนั้นรู้สึกสบายไปหมด เพลินมาก เป็นอย่างนี้จนหมดรอบ
“มาช่วงหลังนี้ พอเข้าสมาธิได้ ทำใจนิ่ง ๆ นาน ๆ ได้ ก็จะเห็นองค์พระท่านเลื่อนเข้ามาซ้อนตัวอาตมา ยิ้มให้อาตมา บางองค์มีผิว สีทองอร่าม บางองค์ก็เป็นแก้วใส ๆ สวยมาก ๆ ที่หลวงพ่อเคยบอกว่า ข้างในสวยกว่าข้างนอก เป็นจริงทุกคำ อาตมาก็เลยมองเพลิน ๆ สักพักท่านก็ลงไปที่กลางท้อง ลงไปเยอะมาก ๆ เรียงแถวกันลงไป แล้วก็หายไป ต่อมาในศูนย์กลางกายก็มีแต่ดวงแสงที่เล็กกว่าปลายนิ้วก้อย สว่างเหมือนเพชรอยู่ข้างในตลอดเวลา เวลาเห็นองค์พระหรือดวงแสงจะเห็นชัดเหมือนลืมตาเห็น และรู้สึกว่าใจเย็นไปหมด สบายใจ มีความสุขมาก ไม่อยากออกจากสมาธิเลย”
ในเรื่องราวตัวอย่างของพุทธบุตรผู้เข้าถึงความสุขภายในจากการเข้าถึงธรรม เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ถ้าเรามีความเพียร และความอดทนในการปฏิบัติธรรม เราทุกคนจะมีโอกาสได้เข้าถึง พระธรรมกายอย่างแน่นอน และขอตอกย้ำด้วยคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ที่ท่านได้เมตตาเทศน์ไว้ในกัณฑ์ที่ ๒๗ มงคลสูตรว่า
“พระก็ดี เณรก็ดี ทำจริงก็เป็นกันทุกคนนั้นแหละ จริงแค่ไหนล่ะจะเป็นทุกคนน่ะ จริงแค่ชีวิตซิ เป็นทุกคน จริงอย่างไรล่ะ นั่งลงไป ประเดี๋ยวก็ได้รู้จริงกันละ นั่งลงไป เมื่อยเต็มที เอ้าเมื่อยก็เมื่อยไป ปวดเต็มที เอ้าปวดก็ปวดไป ทนไม่ไหว เอ้าไม่ไหวก็ทนไป ทนให้ไหว มันจะแตกก็แตกเดี๋ยวนี้ ดับให้มันดับเดี๋ยวนี้ ไม่ถอยเลย ให้เอาจริงเอาจัง ต้องเป็นทุกคน ไม่ต้องไปสงสัยล่ะ พระสิทธัตถราชกุมารทำมาแล้ว เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหมดไปไม่ว่า เหลือแต่กระดูกหนังช่างมัน นี่มันก็เป็นทุกคนเท่านั้น แต่นี่ไม่ถึงขนาดนี้นะซี พอนั่งไป พอปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาแล้ว แอดเสียแล้ว อ๋อยเสียแล้ว นอนเสียแล้ว เอาเข้านั่น แล้วจะเอาของจริง ตัวไม่จริง แล้วจะได้อย่างไร ต้องจริงซิ จริงเอาชีวิตเข้าแลก จึงจะได้สมปรารถนาน่ะ”