อานิสงส์แห่งบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
นกน้อยผู้มีจิตเลื่อมใส
“เอวํ อจินฺติยา พุทฺธา พุทฺธธมฺมา อจินฺติยา
อจินฺติเยสุ ปสนฺนานํ วิปาโก โหตฺยจินฺติโย
พระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย พระธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นอจินไตย
วิบากของเหล่าชนผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าและพระคุณของพระองค์ก็เป็นอจินไตยเช่นกัน”
(ขุททกนิกาย อปทาน)
การจะบรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิตนั้นจะต้องสั่งสมบุญอยู่เป็นนิจ เมื่อพบเห็นสิ่งใดที่สามารถเปลี่ยนให้เป็นโอกาสแห่งการสร้างบุญบารมี ก็ต้องใช้วันเวลาทุกอนุวินาทีให้มีคุณค่าสูงสุด ด้วยการทำกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายเปรียบเสมือนผู้กำลังเดินทางไกลผ่านทางที่ทุรกันดาร เต็มไปด้วยเพลิงกิเลส คือ ราคะ โทสะ และโมหะ จำเป็นต้องมีเสบียง คือ บุญติดตัวไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง ดังนั้นผู้มีบุญ มีปัญญาต้องฉลาดในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสแม้กระแสโลกจะร้อน แต่ใจเราก็ไม่ร้อน เพราะมีความเย็นกายเย็นใจในการสั่งสมบุญกุศลซึ่งสามารถต้านทานความร้อนแรงของกิเลสอาสวะได้ ผู้ที่มีใจสงบเยือกเย็นเช่นนี้จึงจะมีความสุข ยิ่งใครมีใจใสสะอาดบริสุทธิ์หยุดนิ่งในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ชีวิตยิ่งสงบเย็นเหมือนเป็นจุดเย็นในท่ามกลางเตาหลอมมีความเย็นกายเย็นใจอยู่ตลอดเวลา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย อปทาน ความว่า
“เอวํ อจินฺติยา พุทฺธา
พุทฺธธมฺมา อจินฺติยา
อจินฺติเยสุ ปสนฺนานํ
วิปาโก โหตฺยจินฺติโย
พระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย
พระธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นอจินไตย วิบากของเหล่าชนผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
และพระคุณของพระองค์ก็เป็นอจินไตยเช่นกัน”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง ทรงเป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อีกทั้งสมบูรณ์พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ทรงประเสริฐกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะหาใครประเสริฐกว่าหรือเทียบเท่ากับพระพุทธองค์ย่อมไม่มี
ดังนั้น ใครก็ตามที่มีความศรัทธาเลื่อมใสกราบไหว้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุญกุศลอันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการหรือคาดเดาย่อมบังเกิดแก่บุคคลนั้น เพราะอานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ และยากที่จะนับจะประมาณว่าได้บุญเท่าไร เพราะอานุภาพของพระรัตนตรัยอยู่เหนือจินตนาการของมนุษย์ เทวดา พรหม และอรูปพรหม ผู้ใดได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตย่อมประสบแต่ความสุขและความเจริญทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เมื่อละจากโลกนี้ไปย่อมมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป
ในครั้งพุทธกาล มีพระเถระรูปหนึ่ง ชื่อพระปุณณมาสเถระ ชีวิตในวัฏสงสารของท่านเป็นเรื่องราวที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะกว่าท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้มีชาติหนึ่งท่านได้พลาดพลั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานจัดอยู่ในอบายภูมิ ๔ โดยในชาตินั้นท่านได้เกิดเป็นนก แต่นับว่าท่านมีบุญเก่าคอยสนับสนุนอยู่ จึงได้เกิดในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี
วันหนึ่ง นกมีบุญตัวนี้กำลังหาสาหร่ายอยู่ในแม่น้ำสินธุ ขณะนั้นพระวิปัสสีสัมมา-สัมพุทธเจ้าทรงเหาะผ่านมา ในเวลานั้นนกได้เห็นพระรูปกายอันงดงาม และพระรัศมีที่สว่างไสวออกจากพระวรกายของพระองค์ จึงเกิดมีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใช้จะงอยปากคาบดอกสาหร่ายไปบูชาพระพุทธองค์ด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่งนัก
ด้วยอานิสงส์ผลบุญที่นกน้อยได้กระทำการบูชาในครั้งนั้นทำ ให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่แค่ ๒ ภพภูมิ คือ ระหว่างภพมนุษย์กับเทวดาเท่านั้น ในกัปที่ ๑๗ แต่ภัทรกัปนี้ บุญกุศลที่กระทำการบูชาด้วยจิตที่ศรัทธาเลื่อมใส ได้ส่งผลให้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๘ ครั้งพอถึงภัทรกัปนี้ ท่านได้มาเกิดตรงกับยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ซึ่งเป็นช่วงยุคปลายที่การปฏิบัติศาสนากำลังเสื่อมลง ท่านได้เกิดในตระกูลกุฎุมพี มีฐานะรํ่ารวย มีความพร้อมทุกอย่างทั้งข้าทาสบริวารและความเป็นอยู่ที่สุขสบาย
ต่อมา ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส เพราะเห็นว่าชีวิตฆราวาสไม่มีสาระแก่นสาร เป็นชีวิตที่คับแคบ แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ก็ไม่สามารถจะนำพาตัวให้ล่วงพ้นจากความทุกข์ในสังสารวัฏไปได้ จึงเข้าไปหามารดาบิดา เพื่อขอออกบวช เมื่อบวชแล้วท่านตั้งใจรักษาศีลประพฤติปฏิบัติธรรม หลังจากละโลกในภพชาตินั้น ก็ได้ไปสู่สุคติภูมิ
มาในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี มีฐานะร่ำรวยและมีเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง คือในวันที่ท่านเกิดหม้อเปล่าทุกใบในบ้านกลับมีถั่วทองคำอยู่เต็มทุกใบ เมื่อเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์เช่นนี้ หมู่ญาติจึงได้ตั้งชื่อท่านว่าปุณณมาส (ปุณณะ=เต็ม, มาส=ทอง) ให้สมกับเหตุการณ์ที่มีถั่วทองคำอยู่เต็มหม้อ เมื่อเด็กชายปุณณมาสเติบโตขึ้น ก็ได้เล่าเรียนวิชาไตรเพทของพวกพราหมณ์จนสำเร็จ
ครั้นเล่าเรียนจบแล้ว ท่านได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง และใช้ชีวิตแบบฆราวาสผู้ครองเรือน จนกระทั่งมีบุตรคนหนึ่ง ต่อมาก็รู้สึกเบื่อหน่ายในการครองเรือน เห็นว่าไม่มีสาระแก่นสาร เนื่องจากในอดีตชาติท่านเคยบวชมาก่อน จึงมีอุปนิสัยอยากจะบวช วันหนึ่งท่านไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อฟังธรรมเมื่อปุณณมาสพราหมณ์ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ก็เข้าใจหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและรู้ว่าชีวิตของนักบวชเป็นชีวิตที่มีคุณค่ามากที่สุด จึงตัดสินใจออกบวช เมื่อบวชแล้วพระปุณณมาสได้ทำกิจของพระใหม่ไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย และตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
ต่อมา อดีตภรรยาของท่านเกิดคิดถึงอดีตสามีที่จากครอบครัวมานาน และคิดจะให้ท่านลาสิกขาออกมา ก่อนออกจากบ้านนางจึงตกแต่งร่างกายให้สวยงาม แล้วไปวัดพร้อมกับบุตร นางเข้าไปหาพระปุณณมาสแล้วพูดจาเล้าโลมแสดงท่าทางยั่วยวนให้ท่านเกิดความกำหนัดยินดี
เมื่อพระเถระเห็นเหตุการณ์ดังนั้น ก็รู้ความประสงค์ของนาง ท่านต้องการให้ภรรยาเก่ารู้ว่า ท่านหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้วจึงกล่าวว่า บุคคลใดไม่มีความทะเยอทะยานทั้งในโลกนี้และโลกอื่น บุคคลนั้นเป็นผู้ที่จบไตรเพทแล้ว มีความสันโดษและมีความสำรวมแล้ว ไม่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้งหลาย คือตัณหาและทิฐิ เป็นคนที่รู้แจ้งถึงความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปของโลก
ครั้นนางได้ยินคำพูดของพระเถระก็รู้ทันทีว่า ท่านหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ หมดความอาลัยรักในบุตรและภรรยาแล้ว จึงรีบขอขมาพระเถระและลากลับบ้านไป
เราจะเห็นได้ว่า การที่ได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมีจิตศรัทธากราบไหว้ด้วยความเลื่อมใส บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ย่อมบังเกิดขึ้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในเพศภาวะใดก็ตาม จะเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ย่อมได้บุญใหญ่ซึ่งยากที่จะคำนวณว่าได้เท่าไร แต่ผลบุญนั้นจะอำนวยผลในทางที่ดีจนกระทั่งได้บรรลุมรรค ผล นิพพานการบูชาบุคคลผู้ควรบูชาจึงเป็นมงคลอันสูงสุด ชีวิตของผู้ที่ได้กระทำการบูชาอย่างนี้ย่อมมีแต่ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง เมื่อละโลกแล้วย่อมมีสุคติเป็นที่ไป กระทั่งนำไปสู่ภพอันวิเศษ คือ พระนิพพาน