วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ นักโทษแห่งวัฏสงสารตอนที่ ๗ ใคร คือผู้สร้างคุก-สร้างกิเลส

พระธรรมเทศนา

 

พระธรรมเทศนา

 

นักโทษแห่งวัฏสงสาร
ตอนที่ ๗
ใคร
คือผู้สร้างคุก - สร้างกิเลส

นักโทษแห่งวัฏสงสาร
พระธรรมเทศนาโดยพระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
ในรายการ “โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง DMC
(Dhammakaya Media Channel) วันพฤหัสบดีที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

๑. ใครคือผู้สร้างกิเลสควบคุมใจ

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบอกไว้ว่า “ใครเป็นผู้สร้างกิเลส” แต่ทรงบอกว่า“กิเลสเป็นสิ่งที่มองเห็นได้และกำจัดได้ด้วยอำนาจแห่งญาณทัสสนะ” ที่เรียกว่า “วิชชา ๓”ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงทุ่มเทให้กับการสอน “วิธีปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘” ซึ่งเป็นวิธีบำเพ็ญเพียรที่ทำให้มองเห็นกิเลสและกำจัดกิเลสได้ พร้อมทั้งยังทรงกำชับด้วยว่าเมื่อใดที่สามารถมองเห็นกิเลส เมื่อนั้นก็จะมีโอกาสกำจัดกิเลสได้ จากนั้นจึงค่อยไปตามหาว่า ใครเป็นผู้สร้างกิเลส อุปมาเหมือนกับคนที่ถูกลูกศรอาบยาพิษยิงเข้าที่หน้าอกก็ต้องหาทางถอนลูกศรอาบยาพิษ เยียวยารักษาชีวิตให้ปลอดภัยก่อน จากนั้นจึงค่อยไปตามหาว่า เจ้าของลูกศรเป็นใคร อยู่ที่ไหน ลอบทำร้ายเราด้วยเหตุใด ดังที่กล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้

      ในพระไตรปิฎกยังมีข้อมูลหลักฐานหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุว่า ใครเป็นผู้สร้างกิเลส แต่ก็ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้กิเลสควบคุมจิตใจมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจโดยมีปรากฏอยู่ในมหาสมยสูตร๑ ซึ่งมีเนื้อหาโดยย่อดังนี้

        ในวันนั้น มีการประชุมครั้งใหญ่ของเหล่าเทวดาจำนวนมากจาก ๑๐ โลกธาตุ หรือ๑๐,๐๐๐ จักรวาล (๑ โลกธาตุ ประกอบด้วย ๑,๐๐๐ จักรวาล) เพื่อมาเฝ้าชมพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะประทับอยู่กับเหล่าพระอรหันตสาวกประมาณ๕๐๐ รูป ที่ป่ามหาวัน เขตกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้พระอรหันต์ทราบว่า มีเทวดากลุ่มใด จากสวรรค์ชั้นใด รูปร่างเป็นอย่างไร จำนวนเท่าไร มาเข้าเฝ้า ก็มาถึงกลุ่มสุดท้าย ซึ่งเป็นกองทัพเสนามารในเบื้องต้น

       พระพุทธองค์ได้ตรัสกับเหล่าเทวดาทั้งหลายว่า “จงดูความโง่เขลาของกัณหมารผู้พยายามใช้ราคะรัดรึงใจพระอรหันต์ แต่สุดท้ายก็ต้องพบกับความล้มเหลว พากันยก
กองทัพมารกลับไปด้วยความโกรธเกรี้ยว” ดังหลักฐานต่อไปนี้

       เมื่อเสนามารมาถึง พระศาสดาได้ตรัสกับพวกเทพทั้งหมดเหล่านั้น พร้อมทั้งพระอินทร์และพระพรหมผู้ประชุมกันอยู่ จงดูความโง่เขลาของกัณหมาร มหาเสนามารได้ส่งเสนามารไปในที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพด้วยคำว่า “พวกท่านจงไปจับหมู่เทพผูกไว้ พวกท่านจงผูกไว้ด้วยราคะเถิด จงล้อมไว้ทุกด้าน ใคร ๆ อย่าได้ปล่อยให้ผู้ใดหลุดพ้นไป” แล้วก็เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน ทำเสียงน่ากลัว (แต่) ในเวลานั้นไม่อาจทำให้ใครตกอยู่ในอำนาจได้ จึงกลับไปทั้งที่เกรี้ยวโกรธเหมือนเมฆฝนที่บันดาลให้ฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฉะนั้น๑

     จากนั้น พระพุทธองค์ก็ตรัสกับพระอรหันต์ทั้งหลายว่า “พญามารได้ยกกองทัพมาแล้ว จงทำความรู้จักพวกมารด้วยอำนาจแห่งญาณทัสสนะ” พระอรหันต์รับทราบรับสั่งแล้วก็พากันเจริญภาวนาใช้ญาณทัสสนะตรวจดูกองทัพมารที่กำลังยกพลกลับไปฝ่ายพญามารเมื่อรู้ตัวว่าพระอรหันต์มองเห็นพวกตนแล้ว ก็กล่าวยอมรับว่า “พระสาวกของพระองค์เป็นฝ่ายชนะกิเลสมารได้แล้ว” ดังมีหลักฐานปรากฏดังนี้

          พระศาสดาผู้มีพระจักษุทรงทราบเหตุทั้งหมด ทรงกำหนดแล้ว จึงรับสั่งเรียกพระสาวกผู้ยินดีในศาสนามาตรัสว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย เสนามารมุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักพวกเขา’ ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้วพากันทำความเพียร เสนามารหลีกไปจากเหล่าภิกษุผู้ปราศจากราคะ ไม่อาจแม้ทำขนของภิกษุเหล่านั้นให้ไหวได้ (พญามารกล่าวสรรเสริญว่า) ‘หมู่พระสาวกของพระพุทธเจ้าชนะสงครามแล้วทั้งสิ้น ล่วงพ้น
ความหวาดกลัว มียศปรากฏอยู่ในหมู่ชน บันเทิงอยู่กับภูต๒ ทั้งหลาย’๓

       จากข้อมูลที่มีอยู่ในมหาสมยสูตรนี้ ย่อมเป็นหลักฐานให้พวกเราได้รู้ว่า พญามารคือ ผู้กระตุ้นกิเลสให้กำเริบเสิบสานขึ้นในใจมนุษย์ เพื่อจะได้ควบคุมมนุษย์ให้ติดอยู่ในคุกแห่งวัฏสงสารไปตลอดกาล แม้พระอรหันต์ผู้กำจัดกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว พญามารก็ยังพยายามจะควบคุมบีบคั้นพระอรหันต์ให้กลับมาเป็นนักโทษในวัฏสงสารอีกครั้งให้ได้

        พญามารไม่ยอมยกเว้นให้ใครหลุดพ้นจากความเป็นบ่าวเป็นทาสของกิเลสไปได้โดยง่าย แม้แต่พระอรหันต์ผู้ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ก็ยังตามรังควานราวีไม่ลดละ นี่คือตัวอย่างความร้ายกาจของพญามาร ผู้พยายามควบคุมใจมนุษย์ด้วยกิเลส อันเป็นข้อสังเกตที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งจะต้องอาศัยการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อไปรู้ไปเห็นด้วยญาณทัสสนะของตนเองกันต่อไป

๒. ใครคือผู้ควบคุมวัฏสงสาร

      พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบอกไว้ว่า ใครเป็นผู้สร้างวัฏสงสาร ทรงพบแต่เพียงว่า วัฏสงสารมีมายาวนานก่อนที่ทรงตรัสรู้เสียอีก ยิ่งกว่านั้นยังทรงพบว่า ในเวลาใด
ที่จะมีผู้หลุดพ้นออกจากวัฏสงสาร จะมีผู้แสดงตัวออกมาขัดขวางการบรรลุมรรค ผลนิพพาน ในทันที นั่นคือ “พญามาร”

         ในพระไตรปิฎกมีบันทึกเรื่องพญามารอยู่หลายแห่ง ซึ่งสรุปได้ว่าพญามารปรากฏตัวให้เห็นอยู่ ๔ วาระ คือ

         วาระแรก ก่อนการตรัสรู้ธรรม มารปรากฏตัวเพื่อขัดขวางการตรัสรู้ธรรมของพระโพธิสัตว์ โดยใช้วิชามารสารพัด ตั้งแต่ใช้อิทธิพลข่มขู่ ใช้การทวงสิทธิ์ และใช้กลมารยาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

         วาระที่สอง หลังการตรัสรู้ธรรม มารปรากฏตัวเพื่อขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน

       เรื่องนี้มีหลักฐานปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร๑ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ ๕ หลังการตรัสรู้ธรรม พระพุทธองค์ตรัสเล่าเรื่องนี้กับพระอานนท์ว่า มารเข้าไปหาพระองค์ แล้วกล่าวว่า “ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน” แต่พระองค์ก็ตรัสตอบมารโดยมีสาระสำคัญว่า “ตราบใดที่พระพุทธศาสนายังไม่เป็นปึกแผ่นแพร่หลายกว้างไกล เหล่าเทวดาและมนุษย์ยังไม่เชี่ยวชาญในการประกาศพระศาสนา ก็จะยังไม่ปรินิพพาน” เมื่อได้ฟังพระดำรัสตอบเช่นนั้นแล้ว มารก็จากไปด้วยความคิดว่าพระพุทธดำรัสครั้งนี้ คือการให้สัญญาของพระพุทธองค์

        แต่ทว่าในระหว่างที่พระองค์ทรงทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อพาชาวโลกแหกคุกออกจากวัฏสงสารอยู่นั้น มารก็ยังตามรังควานขัดขวางทั้งพระองค์และทีมงานคือ เหล่าพระอรหันต์ (ภิกษุผู้สามารถแหกคุกแห่งวัฏสงสารตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้สำเร็จแล้ว) อยู่ทุกวิถีทาง เช่น นำวิบากกรรมเก่าในอดีตชาติของพระพุทธองค์สมัยเป็นพระโพธิสัตว์มาตามเล่นงานพระองค์บ้าง๒ แอบเข้าไปอยู่ในท้องพระมหาโมคคัลลานะบ้าง๑ ไปดลใจชาวบ้านไม่ให้ตักบาตรพระพุทธองค์บ้าง๒ ไปดลใจผู้อื่นให้มาตามรังควานเข่นฆ่าพระองค์บ้าง๓ เป็นต้น

      วาระที่สาม ขณะตรัสแสดงธรรมแก่กลุ่มบุคคลที่ยังขาดเหตุแห่งการบรรลุมรรค ผลเช่น ในกรณีของกลุ่มปริพาชกที่กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ อาจจะมีบางคนตรัสรู้ธรรมได้บ้าง มารจึงดลใจปริพาชกเหล่านั้นให้นั่งนิ่งเงียบ ไร้ความคิดและปฏิภาณ พระพุทธองค์จึงทรงรู้ว่า ปริพาชกเหล่านั้นถูกมารใจบาปดลใจ แต่เนื่องจากทรงรู้แล้วว่า ปริพาชกเหล่านั้นไม่มีเหตุแห่งการบรรลุ มรรค ผล ในโอกาสนี้ จึงมิได้ทรงห้ามมาร ครั้นแล้วทรงบันลือสีหนาท ทรงเหาะขึ้นสู่อากาศ เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์๔

       วาระที่สี่ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้ปรินิพพาน เหลือเวลาอีก ๓ เดือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา มารได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อทวงสัญญาที่ให้ไว้ในช่วงแรกตรัสรู้ใหม่ ๆ เมื่อ ๔๕ ปีก่อน โดยทูลว่า “บัดนี้พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้มั่นคงดีแล้ว ถึงเวลาต้องปรินิพพานแล้ว” เป็นสาเหตุให้พระองค์ต้องทรงปลงอายุสังขารตามที่ได้ทรงลั่นวาจาไว้กับมาร ทำให้เกิดแผ่นดินไหวไปทั้งโลก สั่นสะเทือนไปถึงเทวโลกจนกลองทิพย์ระบือลั่น๕

   จากพฤติกรรมดังกล่าวของมาร ที่มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น ย่อมแสดงให้เราเห็นว่า มารไม่ต้องการให้ใครหลุดพ้นไปจากวัฏสงสารได้เลยแม้แต่คนเดียว พยายามปิดบังหนทางสายเดียว คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่จะเอื้อให้สามารถแหกคุกออกจากวัฏสงสารได้สำเร็จไว้ตลอดเวลา ส่วนใครที่รู้แล้ว หลุดพ้นไปแล้ว มารก็รีบขับไล่ให้เข้านิพพานไป ไม่ยอมให้มีเวลาเปิดโปงความจริงของโลกและชีวิตได้มากนัก

      ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า มารนั้นทั้งเกลียดทั้งกลัวพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชนิดเข้ากระดูกดำ เกลียด เพราะทำอันตรายใด ๆ พระพุทธองค์ไม่ได้ จึงต้องหาทางขัดขวางการทำงานเผยแผ่ด้วยวิชามารทุกหนทาง กลัว เพราะหากปล่อยให้พระพุทธองค์ทรงมีพระชนมชีพอยู่นานเท่าไร ก็จะพานักโทษแหกคุกออกไปจากวัฏสงสารมากเท่านั้นจึงต้องเร่งเร้าให้พระองค์เข้านิพพานเสีย

        จากความเกลียดและความกลัวของมารนี้เอง ถ้าได้สังเกตพิจารณาใคร่ครวญถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ ครั้งพุทธกาล และสภาวการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เราก็จะพบความจริงว่า มารพยายามทั้งขับไล่ ทั้งขัดขวาง ทั้งตามทำร้ายทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้พระพุทธองค์ทรงทำงานเผยแผ่ได้สะดวก เพื่อไม่ให้พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นในโลกนี้ และเพื่อทำลายพระพุทธศาสนาให้หมดสิ้นไปจากโลกอีกด้วย

       เพราะฉะนั้น จากพฤติกรรมต่าง ๆ ของมาร ตามข้อสังเกตจากหลักฐานที่ถูกบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งพระองค์ทรงบอกว่าเป็นเพียงธรรมะเบื้องต้น ย่อมสรุปได้ว่า

                 ๑. มาร คือ ผู้ใช้กิเลสควบคุมใจมนุษย์

                 ๒. มาร คือ ผู้ควบคุมคุกแห่งวัฏสงสาร

        สำหรับเรื่องที่จะไปรู้ความจริงต่าง ๆ ในวัฏสงสารอันเป็นธรรมที่ทรงตรัสรู้แต่ไม่ตรัสสอนนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้ คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ จนกระทั่งบรรลุวิชชา ๓ ให้ได้เสียก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาความจริงเรื่องอื่น ๆเช่น มารมีความเป็นมาอย่างไร กฎแห่งกรรมกับกฎไตรลักษณ์มีที่มาอย่างไร การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารมีที่มาอย่างไร ปฐมชาติแห่งการเกิดของมนุษย์มีที่มาอย่างไรเป็นต้น

     อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะมีโอกาสบรรลุวิชชา ๓ ได้นั้นจำเป็นต้องบำเพ็ญภาวนา โดยยึดหลักปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ดังนี้“หนัง เอ็น และกระดูกจงเหือดแห้งไปเถิด เนื้อและเลือดในสรีระของเราจงเหือดแห้งไปก็ตามที เมื่อเรายังไม่บรรลุผลที่พึงบรรลุด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรนั้น”๑

   บุคคลที่ทำตามพระดำรัสนี้ได้จริงในยุคของพวกเรา และพวกเราต่างก็คุ้นกับท่านนั่นคือ พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญผู้เป็นมหาปูชนียาจารย์ของพวกเรานั่นเอง ส่วนพวกเราเมื่อยังทำไม่ได้เหมือนกับท่านก็ให้ตรึกระลึกท่านไว้เป็นกำลังใจ แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ กันต่อไปโดยไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งเมื่อบารมีเต็มเปี่ยม เราย่อมทำได้เหมือนดั่งท่าน สำหรับพวกเราที่เป็นนักสร้างบารมี ซึ่งบัดนี้ก็รู้ตัวแล้วว่า เรากำลังเป็นนักโทษติดอยู่ในคุกคือวัฏสงสารจึงจำเป็นต้องรู้ว่า ตนควรดำเนินชีวิตบนเส้นทางนักสร้างบารมีต่อไปอย่างไร จึงจะมีโอกาสบรรลุวิชชา ๓ มีโอกาสตรัสรู้อริยสัจ ๔ มีโอกาสไปศึกษาความจริงเพื่อการบรรลุที่สุดแห่งธรรมต่อไป..

(อ่านต่อฉบับหน้า)

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ ๑๓๓ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล