Case Study กรณีศึกษา
อดีตนางนาคมาณวิกา
๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๗
กราบนมัสการคุณครูไม่ใหญ่ด้วยความเคารพอย่างสูง
ลูกมีน้องสาว ๑ คน เมื่อตอนเกิดมาลูกเป็นเด็กที่เลี้ยงยาก เพราะเป็นโรคหัวใจ พอลูกอายุได้ประมาณ ๘ ขวบ พ่อแม่ของลูกก็ถูกยิงเสียชีวิตพร้อมกันขณะกำลังกลับจากทำงาน จากนั้นยายกับตาก็เลี้ยงดูลูกมาจนโต พอลูกอายุ ๑๔ ปี ก็ได้รับการผ่าตัดโรคหัวใจจนหายเป็นปกติ เมื่อเรียนจบลูกก็มีแฟน แต่แฟนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต หลังจากนั้นลูกก็แต่งงานมีครอบครัว อยู่กันได้ ๗ ปี สามีก็ ล้มป่วยเสียชีวิต หลังจากนั้นลูกก็แต่งงานอีก แต่สามีลูกเจ้าชู้ มีผู้หญิงคนใหม่ ในขณะนี้ ลูกก็ยังไม่ได้เลิกกับสามีคนนี้
ลูกไปวัดพระธรรมกายนาน ๆ ครั้ง ช่วงมีงานบุญสำคัญ ๆ โดยการชักชวนของเพื่อนในที่ทำงาน แต่ลูกก็ไม่ได้มีความผูกพันหรือศรัทธาอะไรมากนัก ไปตามเขาเท่านั้น และที่บ้านของลูกก็ยังไม่ได้ติดจานดาวธรรม เพราะฉะนั้นเรื่องราวต่าง ๆ ที่คุณครูไม่ใหญ่เล่าเกี่ยวกับพญานาค ลูกจึงไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย
อยู่มาคืนหนึ่งลูกฝันถึงพญานาค พญานาคมาเล่าประวัติและเรื่องราวในการพ่นบั้งไฟพญานาคให้ฟัง พอลูกมาเล่าให้เพื่อนในที่ทำงานฟัง เขาพากันประหลาดใจเป็นอย่างมาก ว่าทำไมตรงกับเรื่องราวที่คุณครูไม่ใหญ่เล่าใน รร.อนุบาลฝันในฝันวิทยา ทั้ง ๆ ที่ ลูกเองไม่เคยดูเรื่องพญานาคมาก่อนเลย เรื่องราวความฝันของลูกเป็นดังนี้ค่ะ
ปกติเวลาลูกนอน ลูกจะฝันว่าได้อยู่ ในน้ำ ได้ดำผุดดำว่ายอยู่ใต้น้ำเหมือนเงือกอย่างมีความสุขในแหล่งน้ำแห่งหนึ่งที่ใหญ่มากเป็นน้ำจืด สีเขียว แต่ใสมาก และต้นไม้พันธุ์ไม้ที่อยู่รอบ ๆ ก็โบราณมากจนไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไร สถานที่นี้ลูกฝันว่าไปบ่อยมาก คือ ถ้าฝันว่าเล่นน้ำแบบหายใจในน้ำได้ จะต้องอยู่ในที่แห่งนี้ทุกครั้ง แต่แหล่งน้ำแห่งนี้ลูกไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา น้องสาวชวนลูกไปดูบั้งไฟพญานาค แต่ลูกปฏิเสธเพราะไม่เคยสนใจ ไม่ค่อยเชื่อด้วยค่ะ
คืนหนึ่ง ขณะที่ลูกกำลังหลับอยู่ ลูกก็รู้สึกเหมือนลืมตาขึ้นมา ลูกอยู่ในน้ำได้โดยที่หายใจ แล้วน้ำไม่เข้าจมูก ลูกรู้สึกชอบ ลูกมองออกไปตรงด้านหน้า ก็เห็นพญานาคมากมายทั้งใกล้และไกลตัว หลายตัวมาก ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ เป็นสีเขียวมีหงอนสีแดง บางตัวหงอนเป็นเพลิงสูงขึ้นไป บางตัวถึงจะตัวใหญ่แต่หงอนเตี้ย ส่วนตัวเล็กบางตัวก็มีหงอนสูง บางตัวก็มีหงอนเล็กแต่ตัวใหญ่ เกล็ดแข็ง สีเขียวแวววาวเหมือนกระจก สวยมากค่ะ (ลูกไม่ได้สัมผัสด้วยมือ แต่สัมผัสด้วยความรู้สึก) ต่ำลงมาจากหัวของพญานาคมีสายคาดแนบที่คอ แนบเนื้อไปเลย ไม่รุงรัง เหมือนกับจะถอดออกไม่ได้ และตรงกลางของสายคาดด้านหน้าก็มีอัญมณีอยู่ เม็ดใหญ่มาก สีแดงเหมือนทับทิม บางตัวเป็นสีเหลือง แต่ตัวเล็กไม่มีค่ะ แล้วเกล็ดของตัวเล็กก็ไม่แวววาว รู้สึกไม่แข็งเหมือนกับตัวใหญ่
ลูกได้ยินเสียงรื่นเริงจากพญานาค ตัวเล็ก ๆ ส่งเสียงหัวเราะสนุกสนานแบบเด็ก ๆ (เหมือนกับพญานาคตัวเล็กได้ออกมาจากที่อยู่ มารวมตัวกันในงานบุญ ซึ่งเหมือนกับงานบุญที่วัดในสมัยก่อนของมนุษย์ ที่เด็ก ๆ ได้มาพบกัน) แต่ตัวใหญ่สงบนิ่งมากค่ะ ขณะที่เห็นพญานาค ลูกก็เห็นดวงไฟข้างในสีขาวใส มีขอบริม ๆ สีชมพูเหมือนกลีบดอกบัว และ รอบ ๆ ดวงไฟมีรัศมีสีขาวลอยอยู่ในน้ำ หลายดวง ค่อย ๆ ลอยขึ้นไป ลูกแหงนมองดวงไฟที่ลอยขึ้นไป จึงเห็นก้นของท้องน้ำซึ่งเป็นพื้นดินอยู่เหนือตัวลูก ส่วนตัวลูกอยู่ในน้ำใต้พื้นดินนั้นอีก น้ำเป็นสีเขียวใส บ่งบอกว่าลึกมาก ลูกจึงรู้ว่า พญานาคพ่นบั้งไฟอยู่ใต้ พื้นดินที่มีน้ำ แล้วดวงไฟลอยทะลุดินขึ้นไปยังน้ำ แล้วก็ลอยไปในอากาศ ซึ่งเมื่อลอยขึ้นไปแล้ว แสงและความสวยงามของดวงไฟไม่สวยเหมือนมาเห็นใต้น้ำค่ะ
การพ่นดวงไฟของพญานาค ลักษณะไม่ใช่การผลัก พ่น หรือดันดวงไฟออกมาด้วยพละกำลัง แต่พญานาคจะสงบนิ่ง มีสมาธิมาก พออ้าปากดวงไฟก็จะลอยออกมาจากปากเอง มีพญานาคเยอะมาก ๆ ดวงไฟก็เยอะมากค่ะ ขนาดของดวงไฟใหญ่เล็กสวยงามต่างกัน ถ้าตัวไหนสงบมาก ดวงไฟก็จะใหญ่และสวยค่ะ ตัวเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีดวงไฟออกมา ถ้ามีออกมาก็ดวงเล็ก ๆ แล้วนาน ๆ ถึงจะออกมาทีหนึ่ง คือ ตัวเล็กเหมือนจะติดในความสนุกที่ได้มาพบปะกัน แต่ก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่พญานาคตัวเล็กสงบเป็นสมาธิ แล้วปล่อยดวงไฟออกจากปาก
ขณะที่ลูกกำลังดูอยู่นั้น ตลอดเวลาลูกได้ยินเสียงเล่าจากพญานาคตัวหนึ่ง ลูกหัน ไปดู ก็เห็นพญานาคตัวใหญ่มาก มีสีทอง เกล็ดแข็งแวววาว ใหญ่ที่สุดในจำนวนที่ลูกเห็น ในขณะที่เล่าลูกเห็นทั้งตอนที่เป็นพญานาค และข้างหน้าของพญานาคเป็นตัวมนุษย์ (คล้ายรูปภาพในหนังสือพญานาคที่ออกตอนต้นเดือนตุลาคม แต่เขาอายุมากกว่านั้น) หัวเกล้าจุกมีเส้นสีเขียว ๆ รัดตรงจุก เสื้อแนบเนื้อเป็นสีทองเหมือนถอดออกไม่ได้ มีเครื่องประดับเป็นสังวาล มีทับทิมสีแดงอยู่ตรงกลาง เขาตัวใหญ่มาก และรู้สึกว่าเป็นทั้งคนและพญานาคในตัวเดียวกัน ตัวเขาเป็นสีทอง หงอนแดงสูงมาก ลูกรู้สึกว่าลูกตัวเล็กกว่าเขา แต่ก็ตัวใหญ่กว่าพญานาคตัวอื่นที่กำลังพ่นดวงไฟ แล้วรู้สึกว่าแม่น้ำโขงเล็กมากค่ะ ทั้งที่ปกติขณะไม่ได้อยู่ในความฝัน แม่น้ำโขงกว้างใหญ่ที่สุด ในนั้นเหมือนลูกนอนคุย พญานาคที่คุยกับลูกเป็นพญานาคที่มีอำนาจและเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในนั้น (เหมือนเป็นหัวหน้าค่ะ) มีขนาดใหญ่และสวยงาม ส่องแสงเป็นประกายมากกว่าตัวอื่น แต่ก็ไม่แก่หง่อมแบบมีเครา ถ้าเทียบกับอายุมนุษย์ก็ประมาณ ๓๐ กว่าปี ดูภูมิฐาน
พญานาคตัวนี้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของการพ่นดวงไฟให้ลูกฟัง โดยมีภาพนิ่งประกอบด้วย เหมือนภาพสไลด์เล็ก ๆ ประกอบการเล่า โดยเล่าถึงเหตุผลของการพ่นดวงไฟว่า เดิมพญานาคกลุ่มอื่นไม่ได้มีการพ่นดวงไฟแบบนี้ และตัวเขาไม่ใช่เป็นตัวแรกที่พ่น ดวงไฟ แต่เขาทำตามบรรพบุรุษ แล้วก็มีภาพหนึ่ง เป็นภาพที่มนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งคุกเข่า กำลังถวายของสิ่งหนึ่งเพื่อบูชาคุณของพระพุทธเจ้า ผู้ชายคนนี้นับถือพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าทำให้เขาหมดความทุกข์ (ผู้ชายคนนี้เคยเกิดความทุกข์ร้อน) เขานับถือพระพุทธเจ้าตลอดมา ซึ่งชายคนนี้เป็นเหมือนปู่หรือพ่อของเขา แล้วเขาก็ศรัทธาพระพุทธเจ้าสืบต่อกันมาตามบรรพบุรุษของเขา จากนั้น ก็จะมีภาพบอกถึงวันเวลาของการพ่นดวงไฟ ว่าจะมารวมตัวกันและพ่นดวงไฟในวันไหน และมีภาพพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากบันได ที่ทอดยาวลงมา แล้วมีคนเกล้าผมมวย ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นอะไรไม่รู้ จากภาพเห็นแสงสีสวยมาก เปล่งรัศมีออกมาจากคนที่มารออยู่ตรงบันได หลายสีแตกต่างกันไป แต่แสงจาก รอบ ๆ ตัวพระพุทธเจ้าสว่างที่สุด ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ แต่เย็น
พญานาคบอกว่าเขาพ่นดวงไฟเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าในวันนั้น แล้วทำสืบต่อกันนานมากจนถึงทุกวันนี้ โดยทุกครั้งที่ออกมาพ่นดวงไฟ เขาจะดูจากวันที่พระจันทร์สุกสว่างกลมโต แล้วมีภาพพระจันทร์ขึ้นมาให้ดู ในวันที่พระจันทร์สุกสว่างแล้วมีการพ่นดวงไฟ เปรียบเหมือนงานบุญ (งานวัด) ของโลกมนุษย์ ที่ทุกคนจะมาช่วยกันเพื่อแสดงความศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า และเป็นการสร้างบุญด้วย
เขาเล่าว่าไม่ใช่นาคทุกตัวจะออกมาพ่นดวงไฟแบบเขา พญานาคกลุ่มอื่นในช่วงเวลานี้ก็ถือศีลอย่างเดียวอยู่ในที่ของเขา มีภาพพญานาคถือศีลอยู่ในที่ของเขาให้ดู (เขาขดตัว ไม่ได้นอนยาว ๆ) ในที่ที่ถือศีลจะเป็นล็อก ๆ ของใครของมัน เป็นช่องเป็นโพรง ไม่มีน้ำ แล้วก็เล่าว่าเดิมบรรพบุรุษเขาไม่ได้ อยู่ที่นี่ แต่อพยพมาจากที่อื่น ที่ที่เขาอยู่ไม่มีใครเชื่อว่ามีพญานาค และไม่สนใจเรื่องการสร้างบุญ ทันใดนั้นลูกก็เห็นภาพเมืองที่เหมือนสถาปัตยกรรมอินเดีย มีแม่น้ำอยู่หน้าเมือง ซึ่งก็คือที่เดิมที่เขาเคยอยู่
รูปการอพยพของเขาไม่ใช่เลื้อยมาตามแม่น้ำ แต่เหมือนวืดมา ซึ่งเป็นเวลา ที่รวดเร็วของเขา แต่เป็นเวลานานมากของโลกมนุษย์ เขาเห็นแสงของการสร้างบุญของมนุษย์และความเชื่อต่อพญานาค ณ ที่แห่งนี้ จึงอพยพมา ซึ่งโดยส่วนใหญ่มนุษย์ฝั่งโน้น เชื่อถือและศรัทธาในพระพุทธเจ้ามากกว่าฝั่งนี้ค่ะ ลูกรู้สึกว่าฝั่งโน้นของเขาคือประเทศลาว แต่เขาไม่ได้พูดว่าประเทศลาว และฝั่งนี้ก็คือประเทศไทย คนฝั่งลาวเชื่อถือเรื่องการพ่น ดวงไฟมาก แต่ฝั่งไทยส่วนใหญ่มาดูเพื่อความสนุกมากกว่าศรัทธา
เขาเล่าให้ลูกฟังอีกเยอะมาก จำได้ว่าเขาถามถึงสารทุกข์สุกดิบของลูกว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ลูกไม่ค่อยสนใจฟังและไม่ตอบ แถมรำคาญเขาด้วยซ้ำ จำคร่าว ๆ ได้ว่า เขาเล่าว่าตอนนี้ชีวิตของเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาใช้สรรพนามแทนตัวว่า “ข้า” และใช้สรรพนามแทนตัวลูกว่า “เจ้า” เช่น “เจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง”
ลูกเชื่อในสิ่งที่เขาเล่า ความรู้สึกของลูกที่มีต่อพญานาคตัวนั้น เหมือนเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ที่สนิทมาก ๆ เพราะลูกไม่กลัวเขา และถ้าจะโต้ตอบก็โต้ตอบได้โดยที่เขาจะไม่ทำโทษ ทั้งที่ลูกทำสีหน้าเบื่อหน่ายและรำคาญ แต่เขาก็ยังเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ด้วยเสียงนุ่มนวลกังวาน เหมือนไม่ได้เจอกันนาน แล้วลูกรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับมาอยู่ในกลุ่มญาติพี่น้องอีกครั้ง และเขาเหมือนอยากจะฝากบอกถึงมนุษย์ ให้มนุษย์รู้ประวัติความเป็นมาของการพ่นดวงไฟ และให้เชื่อว่าการพ่นดวงไฟ ของเขา (พญานาค) เป็นเพราะศรัทธาที่มีต่อพระพุทธเจ้า ให้มนุษย์ศรัทธาพระพุทธเจ้า และร่วมจิตร่วมใจขณะที่เขาพ่นดวงไฟด้วย เพราะที่ผ่านมามีแต่เฮฮาสนุกสนาน
เขาเห็นแสงแห่งบุญสว่างอยู่ทางฝั่งลาวมาก ทางฝั่งไทยมีแต่เสียงเฮฮาสนุกสนาน ไม่เลื่อมใสศรัทธาในสิ่งที่เขาทำ เขาไม่ต้องการให้มนุษย์คิดว่าการพ่นดวงไฟเป็นสิ่งแปลกประหลาด แต่อยากให้ศรัทธาและเชื่อในบุญกันมาก ๆ ให้เป็นไปด้วยความสงบ การพ่นดวงไฟของเขาก็จะดีมากขึ้น สุกสว่างมากกว่าทุกวันนี้ ทั้งที่ลูกยังเถียงในใจว่ามาเล่าให้ฟังทำไม ลูกไม่ได้มีความสามารถที่จะไปบอกให้มนุษย์ทุกคนเชื่อได้
คืนนั้นลูกมีความสุขมากค่ะ แต่พอตื่นเช้ามาลูกก็ลืมว่าฝันเรื่องนี้ จนกระทั่งน้องสาวพูดเรื่องจะไปดูบั้งไฟพญานาค ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนฝันถึงพญานาคทั้งคืน
ในฝันพญานาคเหมือนอยากให้ลูกเป็นสื่อบอกถึงมนุษย์ทุกคนว่า สิ่งที่เขาเล่าให้ลูกฟังนั้นเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นลูกยังเถียงในใจว่าลูกไม่มีความสามารถที่จะไปสื่อให้มนุษย์เชื่อลูกได้ แต่ตอนนี้ลูกรู้แล้วว่าการที่ลูกเขียนมาให้คุณครูไม่ใหญ่เล่าในโรงเรียนฝันในฝันวิทยา จะทำมนุษย์รับทราบได้ พญานาคเขาต้องไม่ผิดหวังที่ให้ลูกเป็นสื่อ และลูกรู้สึกดี หมดความกังวล และจะได้เห็นแสงแห่งบุญสว่างไสวทั้งสองฝั่งโขง และร่วมสวดสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าไปพร้อม ๆ กับเขา (พญานาค)
หลังจากส่งคำถาม ไปกราบเรียนถามคุณครูไม่ใหญ่แล้ว
ก็มีคำตอบจากโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาดังนี้
๑.ลูกเป็นโรคหัวใจรั่วมาแต่กำเนิด เพราะเศษกรรมในอดีตที่เกิดในสังคมเกษตรกรรม ใช้แรงงานทาสและแรงงานสัตว์ มากเกินไป จะแก้ไขต้องแผ่เมตตา ปล่อยสัตว์ ปล่อยปลา เป็นต้น รวมทั้งให้ทำบุญทุกบุญ ทั้งทาน ศีล ภาวนา ให้เข้าถึงพระธรรมกาย เมื่อเข้าถึงแล้วก็ให้รักษาไว้อย่าให้หาย จะทำให้ใจใส มีความสุข และวิบากกรรมเบาบางลงไปอีก
๒.พ่อแม่โดนยิงตายพร้อมกัน เพราะกรรมในอดีตที่พ่อแม่เป็นสามีภรรยากันเหมือนชาตินี้ แต่เป็นเจ้ามือการพนัน เคยสั่งให้ลูกน้องไปฆ่าลูกหนี้ที่ติดหนี้การพนันแล้วไม่จ่าย
๓.ลูกกับน้องเป็นกำพร้า เพราะมี เศษกรรมคล้ายกัน แต่ต่างคนต่างทำ คือฆ่าสัตว์แม่ลูกอ่อน โดยเอาลูกไปขาย ส่วนตัวแม่เอาไว้กิน ดังนั้นจึงมักจะพลัดพรากจากคนที่ตนรักเป็นประจำ
๔.ตอนพ่อแม่ตายใหม่ ๆ วนเวียนอยู่ใกล้ลูก ๆ ด้วยความห่วงใย ต่อมาเมื่อลูก ๆ โตจิตก็คลายความห่วงใย จึงไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ได้เมื่อไม่นานนี้ทั้งสองท่าน โดยเกิดคนละที่ ในครอบครัวฐานะปานกลาง
๕.ลูกมีเศษกรรมเจ้าชู้ในสมัยที่เป็นผู้ชาย จึงได้สามีเจ้าชู้ จะประคองชีวิตครอบครัวให้ราบรื่น
(๑) ลูกต้องรู้ว่านี่เป็นเศษกรรมของลูกที่ลูกทำมา จึงได้มาเจอสามีเจ้าชู้
(๒) ลูกต้องอดทนทำหน้าที่ของภรรยาให้ดีที่สุด ให้ใจเย็น ๆ อย่าโวยวาย ค่อยพูดค่อยจา ยิ้มแย้มแจ่มใส อย่าไปกังวลใจกับเรื่องนี้มากเกินไป
๖.เพราะเราเกิดมาสร้างบารมี ให้ ตั้งใจสร้างบารมีให้เต็มที่ ใจจะได้มีบุญกับมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะทำให้ทุกข์มากก็ ทุกข์น้อย ถ้าทุกข์น้อยก็พ้นทุกข์
๗.ที่ลูกฝันว่าไปดำน้ำในแหล่งน้ำนั้นเป็นประจำ นั่นคือสัญญาเก่าของอดีตที่ลูกเคยเป็นนางพญานาคก่อนมาเกิดเป็นมนุษย์ ในชาตินี้
๘.แหล่งน้ำนั้นเป็นบึงใหญ่แห่งหนึ่ง ที่ไม่ไกลจากริมแม่น้ำโขงนัก แต่อยู่ในฝั่งไทยซึ่งปัจจุบันบึงนี้ตื้นเขินแล้ว แทบจะไม่เหลือ ร่องรอยให้เห็น ลูกเป็นนางพญานาคที่เมืองบาดาลใต้บึงนี้อีกที
๙.คืนที่ลูกฝันเห็นพญานาคนั้นเป็นเรื่องจริง โดยลูกกับพญานาคท่านนั้นเป็นญาติกัน เหมือนเป็นลูกพี่ลูกน้องตอนเป็นพญานาค เคยเล่นกันมาตอนเด็ก ๆ
๑๐.เมื่อรู้ว่าลูกมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เลยตามมาเข้าฝัน เพื่อให้กลับไปเยี่ยมเยียน เพราะตอนลูกเป็นพญานาค ลูกอยากจะมาเกิดสร้างบารมี แต่เมื่อลูกมาเกิดแล้วไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ พญานาคผู้พี่จึงมาเข้าฝันเพื่อเตือนลูก
๑๑.อีกประการหนึ่งต้องการผ่านเรื่องบั้งไฟพญานาคให้มาถึงครูไม่ใหญ่ เพื่อบอก ให้ชาวโลกรู้ว่าเป็นเรื่องจริง
๑๒.ลูกควรไปดูบั้งไฟพญานาค เพราะถ้าลูกไปดู พญานาคผู้พี่ก็จะดีใจ และอาจจะทำให้มีโอกาสเห็นพญานาคด้วยตาเนื้อได้ เพราะลูกเคยมีเชื้อสาย
๑๓.ลูกอย่าไปอยู่ที่ใต้บาดาลอีกเลย เพราะตอนลูกเป็นพญานาค ลูกก็เคยผิดหวังเรื่องชีวิตคู่กับแฟนพญานาค เพราะแฟนพญานาคเจ้าชู้ มีภรรยานาคมาณวิกาเยอะ
๑๔.ลูกเป็นแค่นางนาคมาณวิกาคอยรับใช้ปรนนิบัติเท่านั้น จึงเบื่อชีวิตเช่นนี้ เลยตั้งใจว่าเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะสร้างบารมีให้เต็มที่
๑๕.ตอนนี้ลูกก็เป็นมนุษย์แล้ว ให้ตั้งใจสร้างบารมีให้เต็มที่ ไปดุสิตบุรี วงบุญพิเศษดีกว่า อย่าถอยหลังกลับไปเลย
๑๖.ที่ลูกเห็นองค์พระได้ง่ายทั้ง ๆ ที่ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเป็นประจำ เพราะในอดีต ลูกเคยสร้างบารมีกับหมู่คณะมา
๑๗.แล้วปฏิบัติธรรมได้ดี โดยเคยเป็นอุบาสิกา แต่ก็พลาดไปมีความรัก เลยออกไปมีครอบครัว แล้วก็อายที่จะกลับคืนมาสู่ หมู่คณะอีก เลยพลัดกันไปในชาตินั้น เมื่อ พุทธันดรที่แล้ว
๑๘.แล้วก็เวียนว่ายตายเกิด เป็นอะไรหลายอย่างกระทั่งมาเป็นนางนาคมาณวิกา และได้มาเป็นมนุษย์ในชาตินี้
๑๙.ที่เจอกันอีกเพราะบุญเคยสร้าง กันมา แต่ไม่ได้สม่ำเสมอ เพราะห่างหายกัน ไปนาน บุญตรงนี้เลยหย่อนไป
๒๐.แต่อย่างไรก็ตาม บุญที่เคยเป็นอุบาสิการักษาศีล สร้างบารมีกับหมู่คณะมา จึงทำให้เห็นคุณยายทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักในชาตินี้ และฝันเห็นหลวงพ่อทั้ง ๆ ที่ไม่เคยนึกถึง