อานิสงส์แห่งบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
อานิสงส์แห่งการสดุดียกย่อง
พระพุทธคุณ
การยกย่องสดุดี คือ การประกาศคุณธรรมของผู้ทำความดี เพื่อเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นได้รับรู้และปฏิบัติตาม ความหอมแห่งคุณธรรมที่เราได้ประกาศไปนี้ จะส่งผลย้อนกลับมาหาตนให้เป็นผู้ที่น่าคบหา น่าเข้าใกล้ และน่าสนทนาด้วย ดังเรื่องราวของพระสุคันธเถระ ผู้ใช้ปัญญาในการยกย่องสรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ท่านได้มาบังเกิดเป็นกุลบุตรแห่งตระกูลเศรษฐีมีทรัพย์มากมายในนครพาราณสี วันหนึ่งกุลบุตรนั้นได้เดินเที่ยวเล่นไปเรื่อย ๆ จนถึงป่ามฤคทายวัน ในเขตเมืองพาราณสีนั้น เขาได้พบพระบรมศาสดาโดยบังเอิญ ขณะที่พระองค์กำลังทรงแสดงธรรมเทศนาเรื่องหนทางอมตธรรม ทันทีที่เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เขาก็เกิดความปีติเลื่อมใสในพระสุรเสียแห่งการแสดงธรรมของพระองค์ว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเทพที่ยิ่งกว่าทวยเทพองค์ใด ๆ ทรงมีถ้อยคำที่กลมกล่อมน่าชื่นใจ พระสุรเสียงก็ไพเราะดุจนกการเวกขับขาน พระสำเนียงกึกก้องเหมือนเสียงหงส์และกลองที่ตีเสียงกึกก้องกังวาน จนสามารถทำให้มหาชนได้ยินกันชัดเจนทั่วถึง”
เมื่อเขาได้สดับธรรมะและพระสุรเสียงที่ไพเราะของพระพุทธองค์เช่นนี้ ก็คิดจะสละทรัพย์สมบัติเพื่อออกบวช ครั้นได้บวชสมใจแล้ว ก็หมั่นศึกษาธรรมะต่าง ๆ จนแตกฉานเป็นพหูสูต อีกทั้งยังเป็นพระธรรมกถึก
(นักแสดงธรรม) ที่มีความสามารถด้านปฏิภาณวิจิตร คือ สามารถกล่าวบทธรรมในรูปแบบร้อยกรองกาพย์กลอนได้
เนื่องจากท่านมีความสามารถพิเศษด้านการใช้ภาษาที่ไพเราะในการแสดงธรรมเช่นนี้ จึงได้พรรณนาพระคุณอันไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้าให้ชาวประชาได้สดับฟังและยังจิตให้เลื่อมใสในพุทธคุณ เป็นต้นว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้เป็นพระขีณาสพ (หมดกิเลส) เป็นผู้ตื่นแล้ว ทรงไม่มีทุกข์ ทรงตัดความสงสัยได้หมดสิ้นแล้ว ทรงพ้นกิเลสแล้ว”
“พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้ประเสริฐยิ่งนัก ทรงประกาศพระธรรมคำสอนทั้งแก่มนุษย์และเทวดาทรงเป็นผู้ฝึกพระองค์เองและทรงฝึกผู้อื่น ทรงเป็นผู้สงบและทรงทำผู้อื่นให้สงบตาม เป็นผู้ดับกิเลสและทรงทำให้ผู้อื่นดับกิเลสตาม ทรงมีความเพียรและองอาจกล้าหาญ ทรงมีพระปัญญาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณ” ซึ่งท่านมักชอบแสดงธรรมกถาอย่างนี้ในท่ามกลางหมู่ชน โดยการพรรณนาสรรเสริญพระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งอันสูงสุดอยู่เสมอ ๆ เมื่อละโลกในชาตินั้น ก็ได้ไปเสวยทิพยสุขอันโอฬารในสวรรค์ชั้นดุสิต
ครั้นมาบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและได้ออกบวชในภพชาติสุดท้าย อานิสงส์จากการที่ได้พรรณนาพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตามส่งผลอย่างน่ามหัศจรรย์ดังนี้ คือ ทำให้เป็นผู้มีกลิ่นหอม ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นลมหายใจก็ดี กลิ่นปากหรือกลิ่นตัว ล้วนแผ่หอมฟุ้งกระจายไปเป็นนิจทุกทิพาราตรีกาล ปานดังดอกปทุมและดอกจำปาที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลอด เพราะเหตุนี้พระเถระจึงมีนามว่า “พระสุคันธเถระ” หรือพระเถระผู้มีกลิ่นหอม อีกทั้งยังเป็นผู้มีสรีระที่งดงามได้สัดส่วน ซึ่งก็ล้วนเกิดจากผลบุญอันอัศจรรย์ที่เคยพรรณนาพระคุณของพระพุทธเจ้านั่นเอง ยกย่องเช่นใด..ย่อมได้เป็นเช่นนั้น
ในการพรรณนาพระคุณของพระพุทธเจ้านั้น คุณสมบัติด้านใดของพระพุทธองค์ที่ท่านได้พรรณนาประกาศพระคุณเอาไว้ ท่านก็ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งคุณสมบัตินั้น ๆ ตามที่พรรณนาด้วย พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ “สร้างผังสำเร็จ..ด้วยวจีกรรมที่ดี” ดังต่อไปนี้
๑. การที่ท่านได้พรรณนาถึงพระยศของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะฉะนั้นแม้ท่านจะไปเกิดในภพใด ก็ย่อมได้เป็นผู้มียศรุ่งเรืองในภพนั้น ๆ
๒. การที่ท่านได้สรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธองค์ชื่อว่าเป็นผู้ประทานความสุขแก่สัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นท่านจึงได้อานิสงส์คือ เป็นผู้เข้าถึงความสุข
๓. การที่ท่านได้กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าในด้านคุณสมบัติส่วนพระองค์ และคุณสมบัติในส่วนที่เป็นประโยชน์แก่มหาชน ท่านจึงได้อานิสงส์ คือ เป็นผู้มีความงดงาม
๔. การที่ท่านได้กล่าวสรรเสริญชมเชยพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้ทรงชนะมาร ทรงโดดเด่นเหนือจากนักบวชเดียรถีย์ อีกทั้งยังทรงปราบเดียรถีย์ชั่ว จึงทำให้เป็นผู้มีแต่ความรุ่งเรือง
๕. การที่ท่านได้กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ทรงเป็นที่รักแห่งหมู่ชน จึงทำให้ได้อานิสงส์ คือ เป็นผู้น่ารัก น่าชม เหมือนพระจันทร์ในสรทกาล (เดือนท้ายฤดูฝน ซึ่งจะพ้นช่วงที่เมฆหมอกปกคลุม)
๖. การที่ท่านได้ชมเชยพระพุทธเจ้าในทุก ๆ ด้าน ตามสติกำลังและความสามารถอย่างเต็มที่ จึงทำให้ได้อานิสงส์ คือ มีปฏิภาณวิจิตร เหมือนพระวังคีสะ (ปฏิภาณวิจิตรของพระวังคีสะ คือ ท่านสามารถเล่าธรรมะในรูปแบบกาพย์กลอนได้ในทันที โดยที่ไม่ต้องนึกคิดเตรียมมาก่อนเลย)
๗. คนพาลเหล่าใดมักมีความสงสัยกังขาแล้วดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ท่านได้ใช้วาทะปราบคนพาลเหล่านั้นโดยชอบธรรม จึงได้อานิสงส์ คือ ไม่เคยถูกใครดูหมิ่นเลย
๘. การที่ท่านได้ช่วยทำให้กิเลสของสัตว์ทั้งหลายหมดไปจากใจ ด้วยการสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า กรรมนั้นจึงทำให้ได้อานิสงส์ คือ เป็นผู้มีใจไม่มีกิเลส
๙. การที่ท่านได้เทศน์พุทธานุสติ และทำปัญญาตรัสรู้ให้เกิดแก่ผู้ฟัง จึงทำให้ได้อานิสงส์ คือ เป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งเนื้อความแห่งธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง
และด้วยผลบุญจากการพรรณนาสรรเสริญครั้งนี้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตลอดทัั้งแสนกัป ท่านไม่ต้องไปอบายภูมิอีกเลย จนสามารถเผากิเลสในชาติสุดท้ายได้หมดสิ้นจับดีให้เป็นนิสัย
การที่ใครสักคนยกย่องชื่นชมผู้อื่นได้นั้น ต้องเกิดจากจิตที่ดีงามและมีใจที่ผ่องใสมาก ๆ จนสามารถมองเห็นข้อดีของผู้อื่นหรือที่เรียกว่าการจับดี แม้ว่าจะรับรู้ข้อไม่ดีของผู้อื่นโดยบังเอิญ ก็ไม่ควรดูหมิ่นเขา แต่ให้นำข้อบกพร่องของเขามาเป็นบทเรียนแก่ตัวเองว่าจะไม่ยอมกระทำผิดพลาดอย่างนั้น ประดุจม้าอาชาไนยที่เห็นเพื่อนม้าโดนแส้เฆี่ยนลงโทษฉันใด ก็รีบนำความผิดพลาดของเพื่อนม้ามาเป็นบทเรียนว่าจะไม่ยอมทำผิดอย่างนั้นเด็ดขาดฉันนั้น