[...คุณผ่านวิธีต่างๆ มามากมาย แล้วมันก็ไม่ใช่...ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ คุณลองหลับตาเบาๆ นึกถึงดวงตะวันที่สว่าง
อยู่กลางกายของคุณ นึกอย่างสบายๆ แล้วคุณจะพบว่า บางสิ่งที่คุณแสวงหา อยู่ตรงนี้...ตรงนี้เอง] ผมคาดเดาว่า เนื้อหาของท่อนที่
ยกมานี้ น่าจะเป็นท่อนฮุก
กระดาษแผ่นที่ผมถืออยู่นี้เป็นลายมือของหลวงพ่อ บรรทัดแรกเขียนว่า บางสิ่งที่แสวงหา โดยรวมของเนื้อหาได้บอกถึง
วิธีหา
ความสุขแท้จริงว่า ควรจะแสวงหาที่ไหนจึงจะพบ
หน้าที่ของผมก็คือ ส่งพิมพ์เนื้อหา แล้วประสานงานส่งต่อไปยังทีมทำดนตรีเพื่อใส่ทำนอง บันทึกเสียงร้อง เช่นเดียวกับอีก
หลาย
เพลงที่เคยทำผ่านมา ที่ต้องการนำหลักธรรมให้เข้าไปสู่ใจของ คนทุกวัยอย่างง่ายๆ ซึ่งถือว่าเป็นศิลปะการสอน
ที่เต็ม
ไปด้วยกระบวนการความคิดสร้างสรรค์ ผ่านทางบทเพลง
ทุกครั้งก่อนส่งเนื้อเพลงให้นักดนตรี ผมมักจะคาดเดาในใจก่อนล่วงหน้า โดยจะเลือกเนื้อหา ที่จะนำมาใช้เป็นท่อนฮุก
อยู่เสมอ จากนั้นก็จะคอยลุ้นว่า ท่อนที่คาดเดานี้จะตรงกับที่นักดนตรีทำ ออกมาไหม
คำว่า Hook ที่แปลว่า ตะขอ ห่วง เคียว เกี่ยว เมื่อนำมาใช้ทับศัพท์ในวงการเพลง จึงเรียก ท่อนของเพลงที่ฟังแล้วเกี่ยวหู ติดหู จำติดใจได้ง่าย และเข้าถึงคนฟังได้อย่างรวดเร็วว่า ท่อนฮุก ซึ่งท่อนนี้มีอิทธิพลถึงขนาดว่า เพลงจะดังหรือไม่ดังอยู่กัน
ที่ท่อนนี้
[...ผุดขึ้นทีละองค์ ต่อกันเป็นสายล้วนพระธรรมกาย ขยายเป็นตัวฉัน มีสุขสดชื่นอยู่ทุกคืนวัน ฉันขอแบ่งปัน
ความสุขให้ทุกๆ คน] นี่คือท่อนฮุกของเพลง ปันความสุขให้ ที่ติดหูผู้ฟังทุกคน
หรืออย่างเพลง ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ ที่มีเนื้อหาให้มองชีวิตในแง่มุมที่ต่างออกไป ในยามที่ชีวิตมีทุกข์เพราะความผิดหวัง แทนที่จะเอาใจ
ไปผูกพันยึดติด บทเพลงบอกให้มองสิ่งนั้นให้คล้ายกับความฝัน ที่จะหายไปพลันเมื่อตื่นขึ้นมา แล้วท่อนฮุกของ
เพลงนี้ก็เป็นที่จำติดใจกันได้ว่า [...ปล่อยวางได้ใจก็จะสบาย สบายอย่างที่ไม่เคยเป็น ไม่ช้าใจจะใสบริสุทธิ์ หยุดนิ่งอยู่
กลางกาย จะเข้าถึงความสุขที่ยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ ชีวิตจะเบิกบานด้วยตัวของเราเอง]
ผมเคยคิดเล่นๆ ครับว่า หากนำเนื้อหาทั้งหมดหลายร้อยเพลงของหลวงพ่อ มารวมเป็นเพลง เดียวกัน แล้วส่งให้ทีมงาน
ใส่ทำนอง เพลงที่ออกมาจะเป็นยังไง คงจะเป็นเพลงพิเศษเพลงหนึ่งที่ยาวเหยียด และแน่นอนว่าสิ่งที่ผมชอบทำก็คือ คาดเดาในใจ เลือกมองหาท่อนที่จะนำมาใช้เป็นท่อนฮุก
จากที่สังเกตในบทเพลงจะพบว่า หลวงพ่อได้แฝงแก่นบางอย่างไว้ในแต่ละเพลงเสมอ เช่น เพลง พรุ่งนี้โลกก็เปลี่ยนแปลง
แล้ว
ที่มีเนื้อหาท่อนหนึ่งว่า [...ฉันคิดว่า--แค่เรา หลับตาเบาๆ ผ่อนคลายสบาย รวมใจหยุดนิ่งในศูนย์กลางกาย จนดวงตะวัน
สว่างใสเย็นภายใน ความสุขที่แทจริง อย่างไม่มีใดปาน ความรักและหวังดีต่อเพื่อนมนุษย์จะเกิดขึ้นเอง ความรู้สึกแตกต่างและ
ขัดแย้งก็จะหมดไป พรุ่งนี้โลกก็เปลี่ยนแปลงแล้ว ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ใครๆ นึกไม่ถึงเลย]
หรืออย่างเพลง นั่งเครียดไปทำไม ที่ได้แนะเทคนิคง่ายๆ ในการนั่งสมาธิว่า [...เมื่อยก็ขยับ ง่วงก็ให้หลับ ฟุ้งก็ให้ลืมตา ทำที่บอกมาอีกในไม่ช้าก็จะเพลิดเพลิน อย่าทำเลยเกิน นั่ง นอน ยืน เดิน อยู่ในศูนย์กลางกาย...]
หรืออย่างมีมุมมองใหม่ในเพลงรักใสๆ หลุมรักที่แท้จริง ที่สอนให้เริ่มรักตัวเองก่อนเป็น อันดับแรกในท่อนฮุกที่ว่า [...ความรักที่แท้จริงจะเกิดขึ้น เมื่อเราหลับตาเบาๆ ผ่อนคลายสบาย หยุดใจที่ศูนย์กลางกาย จนดวงตะวันสว่างภายใน ความสุข
ไม่มีใดปานจะเกิดขึ้นมา แล้วเราจะตกหลุมรักตัวเอง เป็นหลุมรักภายใน เป็นหลุมรักใสๆ ไม่ตกหลุมรักใคร หมดปัญหาใดๆ มีแต่ความรักใสๆ ให้ทุกคน...]
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเพลง ดูไปด้วยใจสบาย ที่บอกถึงวิธีการปฏิบัติธรรมตั้งแต่เริ่มต้น ให้หลับตาเบาๆ และมองดู
เข้าไปภายในกายของเรา แม้สิ่งที่เห็นจะเป็นความมืดหรือความสว่าง หรือมีภาพอะไรเกิดขึ้นมาก็ตาม ก็ให้เราดูไปเรื่อยๆ ดูไปด้วยใจสบาย [...ดูไปไม่ต้องคิดอะไร ภาพภายในจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ภาพสุดท้ายจะเป็นดวงแก้วใสที่ศูนย์กลางกายคุณ ]
เพลงแล้วเพลงเล่าในจำนวนหลายร้อยเพลง แม้เนื้อหาจะแตกต่างไปตามวาระ แต่จุดประสงค์หลัก
ที่หลวงพ่อเน้นย้ำพร่ำสอน และตั้งใจมาตลอด ถึงกับฝากไว้ในแต่ละเพลงเสมอ ซึ่งมีทั้งเรื่องความจริงของชีวิต การทำทาน รักษาศีล และที่สำคัญก็คือ หัวใจหลักในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ที่ท่านปรารถนาอยากให้ทุกคน
ได้รู้จักและเข้าถึงสันติสุขภายในอันเป็นที่พึ่งแท้จริงของทุกคน
..............................................
ในเพลงหนึ่งจะได้ยิน ท่อนฮุก วนซ้ำเรื่อยๆ อย่างน้อยสองสามครั้ง ถ้านำมาเปรียบกับการสร้างบารมี ท่อนฮุกก็คงหมายถึงการ
ที่เราได้ตอกย้ำสร้างบุญอยู่เรื่อยๆ ยิ่งถ้าบุญไหนที่ได้ทำซ้ำบ่อยๆ เรา ก็จะจดจำบุญนั้นได้อย่างแม่นยำ บุญนั้นก็จะติดเข้าไปใน
ใจอย่างรวดเร็ว ยิ่งการสร้างบารมีที่ทำ อย่างยากลำบาก ก็จะยิ่งทำให้ติดเข้าไปในใจได้มาก และจะจดจำได้ไม่มีวันลืม ยามเมื่อ
นึกถึงครั้งใด บุญที่เราได้ทำบ่อยๆ ซ้ำๆ นั้นจะทำให้เรานึกขึ้นมาได้เป็นอันดับแรกก่อนบุญอื่น เช่นเดียวกับท่อนฮุกที่เราร้องซ้ำๆ และจำได้อย่างรวดเร็ว
หากมีการถ่ายทอดเรื่องราวมากมายในชีวิตของคนเรา แล้วเขียนออกมาเป็นเนื้อหาของเพลงสักเพลงหนึ่ง แล้วให้ทุกคน
ต่างก็ใส่ทำนองของตัวเอง โลกใบนี้คงจะมีบทเพลงที่น่าฟังเกิดขึ้นอย่างมากมาย เพราะทุกเพลงต่างก็มีท่วงทำนอง
ของชีวิตแตก
ต่างกันไป ผมเชื่อว่าสิ่งที่จะต้องมีในบทเพลงของทุกคนก็คือ ท่อนฮุกของชีวิต
สำหรับบางคนมีท่อนฮุกชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน เป็นท่อนฮุกที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซึ่งต่างจากบางคนที่
ท่อนฮุกกลับเต็มไปด้วยอุปสรรคความทุกข์ยากลำบาก หมุนเวียนเข้ามาถาโถมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใครกัน--ที่เลือกเอาเฉพาะท่อนที่มีแต่ความสุขมาเป็นท่อนฮุก
แล้วใครกัน--เลือกท่อนที่ทุกข์ มาเป็นท่อนฮุกให้กับเรา
ใช่แล้ว! ใครที่ไหนเลย ก็ไม่สามารถจะมาเลือกท่อนฮุกชีวิตให้กับเราได้ ท่อนฮุกชีวิตของเราที่เป็นเช่นนี้ เพราะเราเลือก
ของเรามาจากอดีต เมื่อเลือกมาแล้วหากไม่ชอบ
เราก็สามารถเปลี่ยนและออกแบบฮุกท่อนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้กับ
ตัวเราได้
ทั้งหมดอยู่ที่ว่า เราจะยอมถูกหมัดฮุกยิงเข้ามาปลายคางเราฝ่ายเดียว หรือเราจะปล่อยหมัดฮุกของ
เราออก
ไปสู้
เพื่อจะได้เป็นฝ่าย น็อกชะตาของชีวิต
ทุกความลับที่เราอยากให้มีการเปิดเผย ทุกคำถามที่อยากให้มีคำตอบ ทุกความสงสัยที่อยากให้คลี่คลาย และทุกความจริงที่อยากเห็นได้ด้วยสายตา แล้วเราก็ได้รับความรู้มากมายจากหลวงพ่อ ที่มาช่วยไขความกระจ่าง
เรื่องราวทั้งหมด และทำให้เราได้รู้ว่า [เราคือผู้ออกแบบชีวิต เราลิขิตชีวิตเราเอง ไม่ใช่พรหม หรือฟ้า หรือใคร อยากเป็น
อะไรแล้วแต่ใจของเรา...]
เราสามารถลิขิตและออกแบบได้ เราต้องการจะให้ท่อนฮุกของชีวิตมีแต่ทำนองหดหู่ ไร้ซึ่งความหวัง ท้อแท้ มีแต่น้ำตา และจมปลักในกองทุกข์ซ้ำๆ อย่างนี้ต่อไป หรือจะสร้างสรรค์ใส่ ทำนองท่อนฮุกเสียใหม่ ให้ฟังแล้วเกิดพลังใจ ฮึกเหิม กล้าที่จะ
ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิต แล้วก้าวเดิน ไปข้างหน้าต่อไปได้ ทั้งหมดอยู่ที่เราจะออกแบบ
ท่อนฮุก คือท่อนที่เราได้สร้างบารมีซ้ำๆ เข้มข้นทุกวันอย่างต่อเนื่อง... ท่อนฮุก คือท่อนที่เราหลับตาเบาๆ วางใจสบาย นิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกาย ทั้งแตะและตรึกซ้ำๆ จนตรึงใจเราไม่ให้หลุดไปไหน
อยากให้ท่อนฮุกเป็นอย่างไร...ทุกอย่างอยู่ที่เรา
......................................................... |