๑. นึกถึงพระคุณของพ่อแม่ไม่ออก
๒. ไม่รู้วิธีตอบแทนที่เหมาะสม
สำหรับพ่อแม่ มีพระคุณต่อลูก เรื่องหลักๆ อยู่ ๓ เรื่องด้วยกัน คือ
๑. ให้ชีวิต เพราะพอท่านรู้ตัวว่าเราอยู่ ในครรภ์ของท่าน ถ้าท่านไม่คิดจะเอาไว้ ท่านก็มีวิธี ที่จะทำให้เราตายตั้งหลายวิธี แต่คุณพ่อคุณแม่ ท่านกลับเปิดโอกาส ให้พวกเรามีชีวิตลืมตาขึ้นมาดูโลกกัน
๒. ให้ต้นแบบร่างกายที่เป็นคน ซึ่งเป็นรูปร่างที่เหมาะสมในการที่จะประกอบคุณงามความดีทั้งหลาย ต่างกับรูปร่างของสัตวโลกชนิดอื่นๆ ที่ไม่สามารถจะประกอบคุณงามความดีใดๆ ได้เลย
๓. ให้ต้นแบบทางจิตใจ เมื่อเราคลอดออกมาแล้ว ท่านก็ไม่ได้ดูดาย ท่านสอนจิตใจที่เป็นมนุษย์ให้เรารู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก รู้บุญ รู้บาป
แต่ว่าบางคนคุณพ่อมาตายเสียก่อนที่ ตัวเองจะคลอด เกิดมาจึงไม่เคยเห็นหน้าคุณพ่อ ถึงอย่างนั้น คุณพ่อก็ยังมีพระคุณ ตรงที่ท่านให้ชีวิตกับให้ร่างกายที่เป็นมนุษย์มา
พระคุณเพียง ๒ ข้อนี้ก็มากมายแล้ว แต่มนุษย์ยุคนี้มองพระคุณหลักนี้ไม่ออก กลับไปมองที่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ แล้วคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ เช่น ท่านจะมีสมบัติ จะมีมรดกให้เท่าไร หรือท่านจะให้การศึกษา ให้นั่น ให้นี่อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องรองลงมา
ส่วนทำอย่างไร จะให้ลูกเกิดความซาบซึ้งในพระคุณ และคิดจะตอบแทนคุณกันนั้น ตรงนี้ก็ต้องมีต้นแบบทางความประพฤติอีกเหมือนกัน
ก็คุณพ่อคุณแม่เองนั่นแหละ ที่จะต้อง แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อคุณปู่คุณย่า ต่อคุณตา คุณยายให้ลูกของตัวเองดู แล้วก็จับลูกฝึกฝนตั้งแต่ ยังเล็กๆ
ยกตัวอย่าง ถ้าอยู่ต่างบ้านกัน พอลูกรู้ความ ก็พาไปกราบคุณปู่ กราบคุณย่า กราบคุณตา กราบคุณยายบ้าง
ถ้าอยู่บ้านเดียวกัน ก่อนนอนพาไปกราบให้ถึงเท้าเลย กราบเท้าคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย เสียให้เรียบร้อย แล้วค่อยมากราบเท้าแม่ กราบเท้าพ่อ แล้วเข้านอน
ยังไม่พอ แม้ตัวเราเองถ้ามีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย เช้าขึ้นมาจำไว้เลยว่า เมื่อเราเล็กๆ นั้น คุณพ่อคุณแม่ให้เรากินข้าวกินนม ก่อนที่ท่านจะกินเอง
วันนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ต้องทำให้สมกัน คือก่อนที่เราจะกินข้าว อาหารเช้านั้นรีบเอาไปให้คุณพ่อ ให้คุณแม่ก่อน เพราะว่าท่านเป็นพระอรหันต์ในบ้านของเรา
เอาอาหารไปให้คุณพ่อคุณแม่ของเรา ก็คือ เอาอาหารไปให้คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ลูกของเรานั่นเอง
ทำให้ลูกดู ทำให้ลูกเห็นตั้งแต่เล็กๆ อย่างนี้ พอลูกรู้ความขึ้นมาก็ฝึกลูก ให้ยกข้าวปลาอาหารไปให้คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ของแกเองบ้าง
นอกจากสอนให้รู้ ทำให้ดู เคี่ยวเข็ญจนกระทั่งลูกทำเป็นแล้ว มีหรือที่ลูกของเราจะไม่รู้พระคุณพ่อแม่
แต่ว่าที่กำลังเป็นปัญหาก็คือ ปัจจุบันนี้ครอบครัวส่วนมากมักจะเป็นครอบครัวเล็กๆ คือ พ่อแม่อยู่ทาง ลูกอยู่ทาง เช่น คุณพ่อคุณแม่อยู่ต่างจังหวัด ส่วนเราก็มาตั้งครอบครัวใหม่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง หรือบางทีก็เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ
ลูกของเราเกิดมาจึงไม่เคยเห็นว่าเราปรนนิบัติดูแลคุณปู่ คุณย่า ของเขาอย่างไร เพราะฉะนั้นก็เลยทำไม่เป็น
ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกว่า แม้บ้านใกล้เรือนเคียง ที่เขาเป็นคนอายุรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือว่าเขามีปู่ย่าตายายอยู่ด้วย ก็พาลูกของเราไปดูว่าข้างบ้านเรา เขาดูแลปู่ย่าตายายของเขาอย่างไร
แล้วสังคมไทยของเราก็ถือว่า เป็นเพื่อน-บ้านกัน สนิทชิดชอบกัน แม้พ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเพื่อน ก็เหมือนพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเรา เราก็ดูแลท่านเหล่านั้น ให้เหมือนอย่างกับดูแลพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเราเองด้วย
เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสก็พาลูกตัวกะเปี๊ยกของเรานี้ไปด้วย เพื่อลูกจะได้เรียนรู้หน้าที่ว่า จะต้องทำอย่างไรกับเรา เมื่อตอนเราแก่เราเฒ่า
และแน่นอน ถึงเวลาเราก็พาลูกของเราไปเยี่ยม คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายตัวจริงของแกด้วย แล้วเราเองก็ต้องดูแลคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ของลูกเรา ให้ดีเยี่ยม ให้ลูกได้เห็น
ยิ่งกว่านั้น หากมีโอกาสก็ชวนคุณพ่อคุณ-แม่ของเรามาค้างที่บ้านบ้าง แม้จะเป็นชั่วครั้งชั่วคราวก็ดูแลท่านให้เต็มที่ แล้วก็ใช้ลูกของเราให้ช่วยกันปรนนิบัติท่านให้เต็มที่อีกด้วย
ถ้าทำอย่างนี้ ก็จะกลายเป็นการถ่ายทอดความรู้ ถ่ายทอดความดี ถ่ายทอดศีล ถ่ายทอดธรรม ที่เรียกว่า ความกตัญญูกตเวที จากชั่ว คนหนึ่งไปสู่อีกชั่วคนหนึ่ง ด้วยวิธีง่ายๆ อย่างนี้
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มทำกันตั้งแต่วันนี้ อยากจะให้ลูกของเราดีต่อเราอย่างไร ก็ให้เราทำต่อคุณพ่อ คุณแม่ของเราให้ดีอย่างนั้น แล้วเราจะไม่ผิดหวัง