บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙ / ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
ธัมมัสสวนมัย
จิตผ่องใสได้ฟังธรรม
“ภิกษุทั้งหลาย เวลาที่ทรงคุณค่าที่บุคคลให้เป็นไปโดยชอบแล้ว
ย่อมทำให้ถึงความสิ้นอาสวะโดยลำดับ เวลาที่ทรงคุณค่า ๔ อย่าง คือ
เวลาฟังธรรมตามกาล เวลาสนทนาธรรมตามกาล เวลาทำความสงบของใจ
และเวลาพิจารณาธรรมให้เกิดความรู้แจ้ง” (ทุติยกาลสูตร)
การฟังธรรมตามกาลเป็นมงคลอันสูงสุดเป็นช่วงเวลาที่ทรงคุณค่ายิ่ง ที่จะทำให้เกิดปัญญาบริสุทธิ์นำไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งมวลทำให้ได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยได้ฟัง ได้ทบทวนความรู้ที่เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ทำให้คลายความสงสัยที่มีอยู่ในใจ และผู้ฟังธรรมเป็นประจำก็จะมีจิตใจผ่องใส เป็นการเพิ่มพูนสัมมาทิฐิให้มีความเห็นถูกต้อง เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อเรื่องบาปบุญ มีความตระหนักว่านรกสวรรค์มีจริง เป็นภพภูมิที่รองรับผู้ก่อบาปหรือทำความดีเอาไว้ ทำให้อยากจะทำแต่ความดี ละเว้นจากบาปอกุศลทั้งหลาย การฟังธรรมจึงเป็นบุญใหญ่บุญละเอียด ที่พระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ ผู้รู้ยังได้กล่าวถึงอานิสงส์การฟังธรรมว่า บุคคลใดได้ฟังพระสัทธรรมในพระศาสนาของพระชินเจ้า จะทำให้ไม่ตกไปสู่ทุคติตลอดแสนกัป เพราะถ้าหากฟังด้วยจิตที่เลื่อมใสแล้วนำกลับไปพิจารณาไตร่ตรอง จากนั้นก็ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจงั ชีวิตหลงั ความตายก็จะมีแตสุ่คติเป็นที่ไป เป็นการปิดประตูอบายภูมิให้แก่ตัวเองโดยปริยาย
ฟังธรรม : วิชาชีวิตที่ต้องศึกษา
การฟังธรรมเป็นวิชาชีวิตที่ต้องฟังบ่อย ๆ ไม่ใช่นาน ๆ ฟังที หรือบางท่านฟังแล้วไม่เข้าใจก็ไม่อยากฟัง ที่เราไม่เข้าใจเพราะส่วนใหญ่มัวแต่ศึกษาวิชาทำมาหากิน เรียนวิชารวย จึงไม่คุ้นกับวิชาชีวิตว่า ทำอย่างไรจึงจะดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัยทั้งในโลกนี้และในสังสารวัฏ ถึงแม้ชาตินี้จะยังไม่แตกฉานในธรรม แต่จะเป็นอุปนิสัยติดตัวไปในภพชาติเบื้องหน้า และเป็นเหตุให้บรรลุธรรมาภิสมัยได้ในที่สุด
ในสมัยพุทธกาล พระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อเอกธรรม ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุเพียง ๗ ขวบ เมื่อบรรลุแล้วก็ระลึกชาติในอดีตว่าเคยทำบุญอะไรมา ถึงสามารถบรรลุธรรมตั้งแต่เยาว์วัย ประเภทสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือปฏิบัติสะดวก บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องลำบากทำความเพียรเหมือนกับภิกษุรูปอื่น ๆ
พระอรหันต์องค์นี้ได้เล่าเรื่องราวในอดีตชาติของท่านไว้ว่า...
ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ท่านเกิดเป็นฤๅษีผู้มีตบะกล้า สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เหมือนนกบิน มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพมาก เพราะบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าหิมพานต์เป็นเวลายาวนานวันหนึ่งท่านเหาะไปที่ป่ามะเดื่อ เพื่อจะหาผลไม้มาขบฉัน บังเอิญว่าในขณะที่เหาะไปนั้น เหมือนมีกำแพงหมอกมาขวางกั้นเอาไว้ หนทางเบื้องหน้าก็แลดูมืดมิดไปหมด อุปมาเหมือนนกที่บินเข้าไปใกลภูเขาสูงมหึมา จะบินข้ามภูเขาก็ไม่ได้ ต้องบินอ้อมอย่างเดียว
มหาฤๅษีสงสัยว่า บริเวณนี้คงจะมีผู้วิเศษกว่าตนอาศัยอยู่ จึงได้มาขัดขวางหนทางไม่ให้เหาะข้ามไป ท่านก็เลยอยากประลองฤทธิ์ดูว่าผู้วิเศษท่านนั้นจะสามารถหยุดยั้งท่านได้จริงไหมท่านจึงแปลงร่างเป็นไอน้ำกลืนเข้ากับบรรยากาศล่องลอยไปเรื่อย ๆ แต่ก็เคลื่อนผ่านบรรยากาศบริเวณนั้นไปไม่ได้ ท่านพยายามพิจารณาหาสาเหตุว่า ผู้มีอานุภาพที่ไหนมาขัดขวางเราเอาไว้ ไม่ยอมให้ผ่านไปได้
เมื่อเล็งแลดูด้วยทิพยจักษุก็พบว่า มีสมณะรูปหนึ่งกำลังนั่งแสดงธรรมให้มหาชนฟัง มหาฤๅษีเห็นฉัพพรรณรังสีของผู้มีอานุภาพท่านนั้นสว่างไสวไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ทันทีที่เห็นก็รู้ว่า บุคคลผู้นี้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นผู้มีอานุภาพมากที่สุดในภพทั้งสาม ท่านเห็นแล้วเกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงเหาะเข้าไปใกล้พระพุทธองค์แล้วตั้งใจฟังพระสุรเสียงที่พระพุทธองค์กำลังแสดงธรรมเรื่อง อนิจจลักขณะ ว่า อนิจจา วต สังขาราสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ แม้ได้ยินธรรมะเพียงบทเดียว ก็รู้สึกปลื้มใจ ชื่นอกชื่นใจ เกิดมหาปีติท่วมท้นเพราะอมตธรรมเพียงบทเดียวมีรสเลิศกว่ารสทั้งปวงอีกทั้งพระสุรเสียงของพระพุทธองค์ก็ไพเราะเสนาะโสต ชัดเจน แจ่มใส ไม่แหบ ไม่พร่า เสียงก้องกังวาน
ท่านจดจำพระดำรัสเรื่องสังขารไม่เที่ยงแล้วเหาะอ้อมบริเวณนั้นไปด้วยความเคารพ มีจิตเบิกบานผ่องใส จากนั้นท่านก็หมั่นพิจารณา พร้อมกับบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าเป็นเวลานาน ครั้นละโลกแล้วได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
อานุภาพแห่งการตั้งใจฟังธรรม
ด้วยอานิสงส์ที่ฟังธรรมเพียงบทเดียวนั้นทำให้ท่านเสวยสุขในทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนานถึง๓๐,๐๐๐ กัป ท่านเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๒ ภพภูมิเท่านั้น คือ เมื่อจุติจากสวรรค์ก็ได้มาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๓๑ ครั้ง จากนั้นกลับไปเสวยสุขในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีก ๕๑ ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งใช้เวลานานมาก แล้วกลับมาเกิดเป็นพระราชาประเทศราชอีกหลายหมื่นชาติ ที่พิเศษสำหรับท่านอย่างหนึ่งก็คือ แม้จะไปเกิดในเทวโลกหรือเป็นมนุษย์ ท่านก็สามารถทรงจำบทธรรมบทเดียวนั้นไม่เคยลืมเลือนไปจากใจเลยว่า อนิจจา วต สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ทำให้ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
ในภพชาติสุดท้าย ท่านได้เกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐี อายุได้เพียง ๗ ขวบ บิดานิมนต์พระมาเทศน์ที่บ้าน ลูกชายก็มานั่งฟังธรรมด้วย ครั้นพระเทศน์ถึงบทว่า อนิจจา วต สังขารา เท่านั้นธรรมสัญญาเก่าของท่านก็เกิดขึ้น ทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งในพระธรรมเทศนาว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดา การเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นทำให้เกิดสุข ในที่สุดท่านก็สามารถทำใจหยุดนิ่งได้สมบูรณ์ ทันทีที่พระเทศน์จบ ท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
การฟังธรรมแม้จะเป็นบทเดิม ๆ แต่ทุกบทสามารถขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้ และจะเป็นพลวปัจจัยให้ได้บรรลุมรรค ผล นิพพานในเบื้องต้น สิ่งที่จะได้จากการฟังธรรมซึ่งเป็นวิชาชีวิต คือ อริยทรัพย์ ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์ใด ๆ ในโลก เพราะว่าเราจะได้เพิ่มพูนทรัพย์คือศรัทธา ทำให้มีความเห็นถูกต้อง เมื่อเห็นถูกก็นำไปสู่การพูดถูกและทำถูก ไม่ทำผิด ไม่ทำบาปทำแต่บุญุกศุ ลอย่างเดียว เป็นผมูี้ศลี ที่สะอาดบริสุทธิ์มีหิริโอตตัปปะ เกรงกลัวต่อบาปอกุศล จะได้เป็นพหูสูต คือ ได้ยินได้ฟังแต่เรื่องดี ๆ ส่วนเรื่องไม่ดีแม้จะได้ยินได้ฟังมากหรือศึกษามามากก็ไม่ชื่อว่าเป็นพหูสูต เรื่องใดที่ฟังแล้วยกใจให้สูงขึ้นจากบาปอกุศล และสั่งสมไว้ในใจมากเท่าใด ก็ยิ่งชื่อว่าเป็นพหูสูต คนฟังธรรมจะสละอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจได้เร็ว เหลือไว้แต่อารมณ์ดี อารมณ์สบาย พร้อมที่จะเป็นภาชนะรองรับการเข้าถึงธรรมภายใน และมีดวงปัญญาพิจารณาเห็นโลกและชีวิตไปตามความเป็นจริง
ส่วนสมบัติภายนอกใช้ได้ก็ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นก็นำไปไมได้เลย การหาโอกาสเข้าไปฟังธรรมหรือสนทนาธรรมกับนักปราชญ์บัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ทุกท่านควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จะได้เป็นผู้สมบูรณ์ทั้งโลกิยทรัพย์และอริยทรัพย์ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญที่จะไขไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เป็นบันไดก้าวไปสู่การบรรลุมรรค ผล นิพพาน
กระจกเงาสามารถสะท้อนให้เห็นความสวยงามหรือขี้ริ้วของร่างกายเราได้ ฉันใด
การฟังธรรมตามกาลก็สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความดีงาม
หรือความบกพร่องในตัวเราได้ ฉันนั้น..